REO’S deli อาหารพร้อมทานอร่อยและสะดวก
อาหารพร้อมรับประทาน (Ready-To-Eat) ถือเป็นอาหารประเภทหนึ่งที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามวิถีการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมเมือง ซึ่งทุกอย่างต้องแข่งขันกับเวลา แม้กระทั่งเรื่องของการรับประทานอาหารที่ต้องการความสะดวกรวดเร็ว แต่ที่สำคัญรสชาติต้องอร่อย โดยที่เพิ่มเติมเข้ามาและขาดไม่ได้ในยุคปัจจุบันก็คือคุณค่าทางอาหารที่ได้รับ
คอลัมภ์ “Startup” ครั้งนี้จึงขอนำเสนอ “REO’S deli” แบรนด์อาหารพร้อมรับประทานที่เกิดขึ้นมาจากความต้องการนำนวัตกรรมในการทำอาหารที่ได้พบ มาผสมผสานกับความชื่นชอบในการทำอาหารเพื่อเสริฟ์ให้กับผู้บริโภคโดยทั่วไปได้มีโอกาสลิ้มลองรสชาติที่ดีมีคุณภาพแบบไม่ต้องยุ่งยาก
จุดเริ่มต้นธุรกิจ
“ชณา วสุวัต” ในฐานะ กรรมการผู้จัดการ บจก.แวลู ซอร์สซิ่ง หัวเรือใหญ่ของแบรนด์ REO’S deli บอกถึงจุดเริ่มต้นของที่มาที่ไปแห่งไอเดียในการสร้างธุรกิจนี้ ว่า มาจากการที่ตนได้รู้จักกับเทคโนโลยีการนำอาหารที่ร้อนไปลดอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว (Cook Chill) ซึ่งทำให้โรงแรมขนาดใหญ่สามารถจัดเลี้ยงแขกกว่า 1 พันคนได้ในเวลาเดียวกัน เมื่อครั้งที่ไปศึกษาหาความรู้ที่ประเทศอังกฤษเมื่อ 30 ปีที่ผ่านมา เมื่อเรียนจบกลับมาจึงได้ทำอาหารประเภทดังกล่าวจำหน่าย แต่ปรากฏว่าไม่มีลูกค้าเท่าใดนัก เนื่องจากในอดีตนั้นเครื่องไมโครเวฟมีราคาสูงมากถึงหลักหมื่นบาท ผู้บริโภคในประเทศจึงยังไม่มีใช้กันอย่างแพร่หลายเหมือนปัจจุบัน
ทั้งนี้ แนวคิดดังกล่าวจึงเก็บใส่ลิ้นชักเอาไว้ และตนก็หันไปทำธุรกิจทางด้านอื่น จนกระทั่งเมื่อประมาณปี 52 จึงมีแนวคิดที่จะทำอาหารพร้อมรับประทานอีกครั้ง เมื่อมีเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจร้านกาแฟต้องการให้แฟนซึ่งเปิดร้านอาหารขนาดเล็กทำลาซานญ่า และผักโขมอบชสซึ่งเป็นเมนูยอดนิยมของร้านไปวางจำหน่าย ประกอบกับมีญาติท่านหนึ่งต้องการนำไปออกบูธด้วย โดยได้นำผลิตภัณฑ์ไปจำหน่าย 300 กล่อง ปรากฏว่าสามารถจำหน่ายได้หมดภายในวันเดียว จากงานที่จัด 3 วัน ตนจึงเริ่มมองเห็นโอกาสว่าอาหารประเภทดังกล่าวน่าจะทำตลาดได้แล้ว
“จากการสอบถามญาติที่นำผลิตภัณฑ์ไปออกบูธพบว่ากลุ่มผู้บริโภคส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงที่ซื้อกลับไปเพื่อให้ลูกรับประทาน ตนจึงกลับมามองเรื่องการกระจายผลิตภัณฑ์ให้เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างทั่วถึง โดยเล็งเห็นว่าโมเดิร์นเทรดและซุบเปอร์มาร์เก็ตเป็นคำตอบที่น่าจะเหมาะสมที่สุดตามวัตถุประสงค์ ซึ่งต้องการจำหน่ายอาหารดีราคาไม่แพงและสามารถหาซื้อได้ง่าย ดังนั้น ในช่วงเริ่มต้นตนจึงนำผลิตภัณฑ์ไปเสนอที่จัสโก้ (Jusco) ที่ในอดีตมีประมาณ 10 สาขา (ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นแมกซ์แวลู : MaxValu) ตอบโจทย์กับธุรกิจที่เพิ่งเริ่มต้น”
อย่างไรก็ดี หลังจากจำหน่ายที่แมกซ์แวลู่ได้ประมาณ 3 ปี ตนจึงขยายช่องทางการจำหน่ายเพิ่มเติมมาที่ท็อปส์ มาร์เก็ต (Tops Markets) สาขากรุงเทพฯและปริมณฑล แต่ด้วยความที่ธุรกิจต้องโตขึ้น ตนจนต้องการให้ผลิตภัณฑ์มีวางจำหน่ายทั่วประเทศ แต่ตอนนั้นยังติดปัญหาเรื่องของอายุผลิตภัณฑ์ที่อยู่ได้เพียง 5 วันเท่านั้น ตนจึงไปขอคำแนะนำจากสถาบันอาหาร และศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมจนสามารถนำเทคโนโลยีมาปรับประยุกต์ใช้จนสามารถยืดอายุผลิตภัณฑ์ได้ 12 วัน และได้จำหน่ายผ่านท็อปส์มาร์เก็ตทั่วประเทศในที่สุด
เล็งจำหน่ายเซเว่นทั่วประเทศ
ชณา บอกต่อไปว่าว่า ผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ “REO’S deli” ประกอบด้วย ผักโขมอบชีส ,ลาซานญ่า ,มันฝรั่งบดอบชีส และมะกะโรนีอบชีส โดยที่ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ยังได้เข้าไปวางจำหน่ายที่เซเว่นอีเลฟเว่น (7-11 eleven) ประมาณ 4,000 สาขา และมีแผนที่จะขยายให้วางจำหน่ายในเซเว่นฯได้ทั่วประเทศ พร้อมเพิ่มผลิตภัณฑ์อีก 1-2 ประเภท (SKU) ในระยะต่อไป ซึ่งล่าสุดอยู่ระหว่างการขยายโรงงานใหม่เพื่อรองรับ โดยคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จไม่เกินเดือนพฤศจิกายนนี้
“กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงหรือมบ้านซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการทำอาหารมากกว่าเรา แต่มีความต้องการให้เราทำผลิตภัณฑ์ออกมาเพื่อตอบโจทย์ จึงมีการแนะนำสูตรนั้นสูตรนี้ให้เราได้ปรับปรุงอยู่ตลอด ดังนั้น ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์จึงไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ในการพัฒนา”
จากกลยุทธ์การทำตลาดดังกล่าวเชื่อว่าจะทำให้บริษัทมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 40 ล้านบาทในปีนี้ โดยเติบโตจากปีที่ผ่านมาประมาณ 10% ขณะที่จุดเด่นของผลิตภัณฑ์แบรนด์ REO’S deli อยู่ที่ความสดใหม่ของอาหาร ซึ่งมีจุดขายอยู่ที่ความสะดวกสบายสำหรับผู้บริโภค อีกทั้งยังมีการปรับปรุงพัฒนาสูตรการทำอย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำของผู้บริโภค จากการเก็บข้อมูลผลตอบรับของลูกค้า
“อาหารพร้อมรับประทานมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 7% ในประเทศไทย และยังแนวโน้มการเติบโตได้อีกมาก โดยมีช่องทางหลักมากจากร้านสะดวกซื้อ และการขยายตัวของเมืองใหญ่ เนื่องจากกว่า 50% ของรายได้อาหารพร้อมรับประทานจะอยู่ที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งเมื่อมีการขยายรถเส้นทางรถไฟฟ้า ก็จะยิ่งทำให้มีประชาชนเข้ามาอยู่ในเมืองเพิ่มมากขึ้นในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า เมื่อดูจากอัตราการก่อสร้างของอสังหาริมทรัพย์ เพื่อรองรับคนเมือง ด้วยวิถีชีวิตที่เร่งรีบ และความต้องการสะดวกสบายอาหารประเภทดังกล่าวจึงตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งในอนาคตผู้บริโภคจะหันมารับประทานผัก หรือแพลนต์เบสกันมากขึ้น ผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่มีแนวทางพัฒนาไปสู่ทิศทางอาหารประเภทดังกล่าวก็น่าจะตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี”
ด้านหลักคิดในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จนั้น มองว่าอยู่ที่การวางวิสัยทัศน์ เพราะการทำธุรกิจจะต้องกำหนดวิสัยทัศน์ให้เห็นชัดก่อนเริ่ม มองเห็นว่าจะทำอะไร มีเป้าหมายที่ชัดเจน มีกรอบเวลาที่ชัด แล้วก็มุ่งไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ ทำให้ไม่เดินออกนอกเส้นทาง
ลดการนำเข้าวัตถุดิบ
ชณา กล่าวต่อไปอีกว่า หลังจากนี้ประมาณ 1-2 ปี ตนมีแผนที่จะลดการนำเข้าวัตถุดิบหลักจากต่างประเทศ และหันมาใช้ในประเทศแทน เช่นผักโขม ซึ่งปัจจุบันนำเข้าจากประเทศจีนรวมถึงครีมกับนมที่ใช้วิธีในการนำเข้า โดยล่าสุดขณะนี้บริษัทเริ่มหันมาใช้ชีสที่ผลิตในประเทศแล้วครึ่งหนึ่ง จากโรงงานผลิตชีสที่ใช้นมของโครงการพระราชดำริ
“แม้ว่าการใช้ของที่ผลิตในประเทศจะมีต้นทุนที่สูงกว่า แต่ถ้ามองเชิงคุณค่า หรือสร้างประโยชน์ให้สังคม คนไทย หรือเกษตรกรคิดว่าคุ้มค่ามาก เราทำธุรกิจไม่ได้มุ่งหวังว่ากำไรจะเป็นเป้าหมายหลักของเราทั้ง 100% แต่ทำแล้วบริษัท หรือแบรนด์ของเราต้องมีประโยชน์กับคนรอบข้าง หรือคนอื่น ก็ได้กลับมาเหมือนกันไม่จำเป็นต้องเป็นเงินอย่างเดียว เงินเราก็อยากได้แต่ไม่จำเป็นต้องได้สูงที่สุดเสมอไป”
ชณา บอกปิดท้ายว่า ในอนาคตเมื่อผลิตภัณฑ์ที่เป็นเมดอินไทยแลนด์ มีการใช้วัตถุดิบหลักจากท้องถิ่นเกิน 50% ที่เป็นของในประเทศ เราอาจมองเรื่องการส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านเรา เป็นผลิตภัณฑ์ทำจากไทยซึ่งน่าจะอีกประมาณ 5 ปีข้างหน้าน่าจะทำได้