“LOEI BUSTA” เมล็ดกาแฟชั้นดีเพื่อคอกาแฟ

ปัจจุบันการนำเอกลักษณ์ประจำท้องถิ่นของแต่ละท้องถิ่นมาต่อยอดให้เป็นธุรกิจกำลังเป็นกระแสที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะถือว่าเป็นการสร้างจุดเด่น และช่วยเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ให้ดูน่าสนใจสำหรับผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี
“นิภาพร คำเกษม” คือหนึ่งในผู้ประกอบการที่มีจุดเริ่มต้นไอเดียในการทำธุรกิจมาจากคุณลักษณะดังกล่าว โดยเล็งเห็นถึงคุณค่าจากธรรมชาติ จากสภาพป่าไม้ที่ลดถอยลงไปตามกาลเวลาจนนำไปสู่แนวคิดการปลูกพืชที่ช่วยรักษาความเป็นธรรมชาติ และสร้างรายได้ให้เกษตรกรได้ เมล็ดกาแฟคั่วบด แบรนด์ “เลยบัสต้า” (LOEI BUSTA) จึงได้ Startup ธุรกิจขึ้น
กลับสู่ภูมิลำเนา
นิภาพร ในฐานะกรรมการผู้จัดการ บจก.ด่านซ้ายแอนด์สโตนคาวบอย บอกถึงที่มาที่ไปของไอเดียในการทำธุรกิจ ว่า มีจุดเริ่มต้นเมื่อปี 59 ซึ่งกระแสของกาแฟกำลังเติบโต และตามปกติก็เป็นคนที่ชอบดื่มกาแฟ โดยที่แฟนเป็นผู้เริ่มต้นแนวความคิดดังกล่าวนี้ หลังจากที่แฟนไปทำงานอยู่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง และทุกครั้งที่เดินทางกลับภูมิลำเนาที่ อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลยทุกปี ก็จะสังเกตเห็นว่าภูเขามีสภาพที่เป็นเขาหัวโล้นเพิ่มมากขึ้น จาการที่เกษตรกรในพื้นที่ทำไร่ข้าวโพด ซึ่งถือว่าเป็นพืชหมุนเวียน
ทั้งนี้จากสภาพที่เห็นทำให้แฟนกลับมาคิดทบทวนว่าจะทำอย่างไรให้สภาพของป่ากลับมาดีได้ดังเดิม และจะต้องเป็นการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรในพื้นที่ควบคู่กันไปด้วย โดยนึกไปถึงการปลูกต้นกาแฟ ซึ่งถือว่าเป็นพืชเศรษฐกิจ และสามรถนำมาแปรรูปให้กลายเป็นธุรกิจได้ หลังจากนั้นเมล็ดกาแฟคั่วบดแบรนด์ LOEI BUSTA จึงได้ถือกำเนิดขึ้นเพื่อเป็นทางเลือกในตลาดให้กับผู้บริโภค

สำหรับจุดเด่นของกาแฟคั่วบดแบรนด์ เลยบัสต้านั้น หากเป็นในรูปแบบของผลิตภัณฑ์จะอยู่ที่เมล็ดพันธ์กาแฟโรบัสต้า ซึ่งตามปกติจะปลูกในพื้นที่ภาคใต้ซึ่งจะมีความสูงจากระดับท้องทะเลประมาณ 400 ฟุต แต่แบรนด์ได้นำมาปลูกที่อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย บนความสูงจากระดับท้องทะเลประมาณ 700-1,000 ฟุต ทำให้ได้กาแฟที่มีความหอมเป็นอัตลักษณ์ของจังหวัดเลย ดื่มแล้วมีความเข้มและหอมแบบ 2 IN 1
อย่างไรก็ตาม แบรนด์ยังมีส่วนช่วยทำให้อำเภอด่านซ้ายมีพื้นที่ป่าเพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่มีพื้นที่ปลูกข้าวโพด 9 แสนไร่ แต่ปัจจุบันการปลูกข้าวโพดจะอยู่ที่ 6 แสนไร่ ส่วนที่เหลือจะเป็นการปลูกกาแฟ โดยในปีที่ผ่านมามีผลผลิตออกมาได้ประมาณ 1 ตัน และคาดว่าจะมีผลผลิตที่เพิ่มมากขึ้นในปีนี้เกือบ 2 ตัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างรายได้ และอาชีพให้กับเกษตรกรในพื้นที่ เพราะแบรนด์สร้างความเชื่อมั่นให้กับเกษตรกร ทำให้เกิดการบำรุงรักษาต้นกาแฟเป็นอย่างดี
ขยายเข้าห้าง/เพิ่มธุรกิจแฟรนไชน์
นิภาพร บอกต่อไปอีกว่า กลยุทธ์การทำตลาดในปีนี้นั้น หลังจากที่แบรนด์ได้เข้าร่วมโครงการกับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ทำให้แบรนด์มีโอกาสได้เข้าไปเจรจาธุรกิจกับห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขาขอนแก่น ซึ่งให้ความสนใจในกลยุทธ์ในการทำตลาด และลูกเล่นที่สามารถดึงดูดความสนใจจากผู้บริโภคของแบรนด์ โดยปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนของการหาความเหมาะสมของรูปแบบในการดำเนินธุรกิจว่าจะเป็นการร่วมมือกัน หรือมีพื้นที่ให้แบรนด์เข้าไปลงทุนเพื่อให้บริการด้วยตนเอง
“แบรนด์กำลังเจรจาธุรกิจกับฝ่ายการตลาดของเซ็นทรัลฯ เพื่อหาข้อสรุปที่เหมาะสมในการเข้าไปทำธุรกิจ ซึ่งทางห้างเซ็นทรัลมีโครงการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยและรายเล็กที่เป็นผลิตภัณฑ์ชุมชนให้ได้มีโอกาสนำผลิตภัณฑ์ไปจำหน่ายในห้าง โดยถือเป็นกลยุทธ์รูปแบบหนึ่งในการขยายตลาดเพื่อเพิ่มฐานลูกค้าของแบรนด์ในปีนี้”
นอกจากนี้ กลยุทธ์ที่แบรนด์จะดำเนินการเพิ่มเติม คือการทำธุรกิจให้บริการร้านกาแฟในรูปแบบของแฟรนไชน์ เพื่อต่อยอดธุรกิจ โดยที่แบรนด์จะแบ่งออกเป็น 3 ขนาด ประกอบด้วย 1.ไซส์ขนาดเล็ก ในราคา 7 หมื่นบาท ,2.ไซส์ใหญ่ราคา 1.5 แสนบาท และ3.แบบร้านมาตรฐานเต็มรูปแบบ ราคาหลักล้านบาท เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้เลือกทำธุรกิจร่วมกันตามความเหมาะสมของเงินทุน และทำเลธุรกิจที่มี

“ด้านการให้บริการนั้น ทางร้านจะทำให้ลูกค้าได้มีส่วนร่วมในการรับประทานกาแฟของตนหากต้องการ เสมือนเป็นบาริสต้า (BARISTA) ให้กับตนเอง ช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับการรับประทานกาแฟได้ในอีกรูปแบบหนึ่ง และเพิ่มความสุขในการรับประทาน ซึ่งได้รับความนิยมจากลูกค้าเป็นอย่างมาก”
สยายปีกออกต่างประเทศ
นิภาพร บอกอีกว่า หลังจากที่แบรนด์ได้ไปออกงานไม้ดอกไม้ประดับที่จังหวัดเลย โดยที่ภายในงานมีส่วนที่เกี่ยวกับร้านกาแฟทำให้บริษัทได้มีโอกาสได้พบกับนักลงทุนจากประเทศสาธารณะรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ซึ่งสนใจแนวทางในการดำเนินธุรกิจของแบรนด์ ทั้งเรื่องของการตกแต่งร้านแบบคาวบอยตะวันตก และการให้บริการที่เปิดโอกาสให้ลุกค้ามีส่วนร่วมในการรับประทานกาแฟของตนเอง เพื่อนำกาแฟไปเปิดให้บริการในปั๊มน้ำมันของตน โดยจะเป็นการเติมเต็มปั๊มน้ำมันให้ลูกค้าสนใจที่จะเข้าไปใช้บริการมากขึ้น
“ภายใน 1-2 เดือนนี้ แบรนด์จะดำเนินการเจรจาทางธุรกิจกับเจ้าของปั๊มน้ำมันจาก สปป.ลาว เพื่อตกลงเรื่องการทำธุรกิจร่วมกันว่าจะมีเงื่อนไขอะไร อย่างไรที่จะทำให้ได้รับผลประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย เดิมทีแบรนด์มีช่องทางในการทำตลาดผ่านออนไลน์ และการจำหน่ายผ่านหน้าร้านที่ อำเภอภูเรือ จังหวัดเลยภายใต้ชื่อร้าน ด่านซ้ายแอนด์สโตน คาวบอย และการออกงานแสดงร่วมกับ สสว.”
เล็งรายได้หลักล้านบาท
นิภาพร บอกว่า จากกลยุทธ์การทำตลาดของบริษัทดังกล่าวเชื่อว่าจะทำให้แบรนด์มีรายได้เกินหลักล้านบาทในปีนี้ จากเดิมซึ่งปีที่ผ่านมาแบรนด์มีโอกาสได้ไปออกงานแสดงสินค้าในหลายสถานที่ ทำให้แบรนด์มีรายได้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 5 แสนบาทต่อปี และทำให้กาแฟคั่วบดแบรนด์ LOEI BUSTA เป็นที่รู้จักของบริโภคในวงกว้างมากขึ้น
ด้านหลักคิดในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ เราจะพยายามคิดอยู่เสมอว่าเราเป็นแบรนด์ของผู้ให้บริการทางด้านกาแฟเล็กๆ และจะคิดอยู่เสมอว่าลูกค้าจะต้องได้รับการบริการที่มากกว่าราคาที่จ่ายออกมา เพื่อให้ลูกค้าเกิดความประทับใจและกลับมาใช้บริการอีกในวันข้างหน้า