“Boom’s Bakes” คุ้มค่าเกินราคา

ในโลกของการธุรกิจให้ระสบความสำเร็จนั้น นอกจากเรื่องขององค์ความรู้ ความสามารถในการบริหาร และจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างจากในตลาด โชคก็ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กันในการนำพาธุรกิจให้แผ่ขยายออกไปอย่างมั่งคงและยั่งยืน
“เจตน์ เอื้อปัญญาพร” และ “กิตตน์ ขำกฤษ” 2 หนุ่ม 2 สไตล์ที่มีแนวคิดไปในทิศทางเดียวกัน และมีความกระหายในความสำเร็จเหมือนกัน ได้ Startup ธุรกิจเบเกอรี่ของตนเองร่วมกันขึ้นมา ภายใต้องค์ความรู้ ซึ่ง เป็นรากฐาน และต้นทุนที่มั่นคง ในชื่อแบรนด์ “Boom Bake”
เริ่มต้นธุรกิจ
กิตตน์ กรรมการบริหาร บริษัท บูมเจษฐ์ 24 จำกัด ผู้มีศักดิ์เป็นพี่ตามระยะเวลาในการเกิดบอกว่า จุดเริ่มต้นของธุรกิจดังกล่าวมาจากการที่คุณพ่อของน้องเจตน์ และคุณแม่ของตนมีความสนิทมักคุ้นกันมาเนิ่นนาน ตั้งแต่เมื่อครั้งที่เคยขายของอยู่ที่ตลาดเดียวกัน แม้ว่าแม่ของตนจะไม่ได้ขายของที่ตลาดแล้วก็ตาม แต่ว่าบ้านพักอาศัยก็ยังอยู่ในละแวกของตลาด วันหนึ่งเมื่อน้องเจตน์ใกล้ที่จะสำเร็จการศึกษา คุณพ่อของน้องเจตน์ได้เรียกทั้ง 2 คนเข้ามาหารือร่วมกัน เพราะคุณพ่อของน้องเจตน์มีความมุ่งหวังที่ต้องการให้น้องมีธุรกิจเป็นของตนเอง
โดยมอบองค์ความรู้ทางด้านการทำเบเกอรรี่ ซึ่งคุณพ่อของน้องยึดเป็นอาชีพมามากกว่า 25 ปีให้ เพื่อแตกไลน์ใหม่เกี่ยวกับขนมปัง ทั้งที่ในตอนแรกตนเองก็ไม่ได้มีความคิดที่จะต้องมีธุรกิจเป็นของตนเอง เพราะช่วงเวลานั้นก็ได้มีงานแสดงละครทางช่อง 7 ในบทพระเอกแล้ว แต่เมื่อได้มานั่งหารือร่วมกันความรู้สึกที่ถูกชะตา และแนวคิดในการทำธุรกิจซึ่งไปในทิศทางเดียวกัน โดยไม่ได้เน้นว่าจะต้องทำให้รวย หรือมองเพียงแต่เรื่องของธุรกิจอย่างเดียว แต่มองที่เรื่องของคุณภาพมากกว่า เน้นความอร่อย แต่ราคาจะต้องไม่แพง เรียกว่ามีเคมีที่เข้ากัน จึงตัดสินใจที่จะทำธุรกิจร่วมกัน โดยเริ่มต้นธุรกิจในช่วงปลายปีที่ผ่านมา
สำหรับจุดเด่นของผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ภายใต้แบรนด์ “Boom’s Bakes” นั้น อยู่ที่ความคุ้มค่าเรื่องราคากับปริมาณที่ผู้บริโภคจะได้รับ ซึ่งเกินกว่าราคาที่ตั้งเอาไว้เพื่อจำหน่าย โดยแบรนด์พยายามจะให้ผู้บริโภคได้คิดแบบนั้นตลอด ส่วนวัตถุดิบที่ใช้ก็จะเป็นของที่มีคุณภาพอย่างแท้จริง เนื่องจากคุณพ่อของน้องมีธุรกิจเกี่ยวกับการจำหน่ายอุปกรณ์ในการทำเบเกอรรี่ด้วย จึงทำให้สามารถควบคุมราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์ได้ในราคาเพียง 24 บาทต่อชิ้นเท่านั้น แม้ว่าช่องว่างระหว่างต้นทุนกับราคาขายของแบรนด์จะไม่มาก แต่เราพยายามเน้นที่ปริมาณการจำหน่าย ซึ่งจะแปรเปลี่ยนมาเป็นผลกำไรมากกว่า
“เสียงตอบรับจากผู้บริโภคก็คือเมื่อซื้อขนมปังจากที่ร้านไปแล้วนำไปแช่ตู้เย็นไว้ 3-4 วัน เมื่อนำออกมาอุ่น ขนมปังก็นุ่มและมีรสชาติเหมือนเพิ่งซื้อมา”

เล็งขยายสาขา 11 แห่งในจีน
เจตน์ ในฐานะกรรมการบริหารอีกคนหนึ่ง บอกเสริมว่า ปัจจุบันร้าน “Boom’s Bakes” มีเปิดให้บริการอยู่ทั้งหมด 3 สาขาในประเทศไทย ประกอบด้วยที่ตลาดมีนบุรี 2 สาขา และที่ตลาดบางกะปิอีกหนึ่งสาขา ซึ่งเป็นช่องทางการจำหน่ายหลัก พร้อมกันนี้ยังช่องทางด้านออนไลน์ ซึ่งจะเน้นการบริการจัดทำเป็นแสนคบล็อก (Snack Box) เพื่อนำไปเป็นของว่างระหว่างการประชุมสัมนานาของบริษัทต่างๆที่มีการสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่องด้วยการแนะนำกันแบบปากต่อปาก แม้ว่าในระยะแรกการประชาสัมพันธ์จะนำข้อได้เปรียบในการเป็นดาราของพี่กิตตน์มาเป็นกลยุทธ์ในการดึงดูดลูกค้า ซึ่งก็ยอมรับว่าได้ผลที่ดีเพียงในระยะแรก หลังจากนั้นผู้ที่กลับมาซื้อจะมาเพราะรสชาติและคุณภาพของขนมมากกว่า
อย่างไรก็ดีด้วยความที่ตนมักจะติดขนมของที่ร้านติดตัวเดินทางไปไหนมาไหนด้วยทุกครั้ง ส่งผลให้แบรนด์ได้เปิดโอกาสทางธุรกิจในประเทศจีนอย่างไม่คาดฝัน แม้ว่างานที่ไปจะเกี่ยวกับเครื่องสำอางก็ตาม โดยตนได้นำขนมปังของทางร้านที่ติดตัวไปให้กับนักธุรกิจของจีนได้ลิ้มลองรสชาติ ปรากฎว่าได้รับความชื่นชอบเป็นอย่างมากจนถึงขนาดขอร่วมลงทุนเป็นพาทเนอร์เพื่อเปิดร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์แบรนด์ “Boom’s Bakes” ที่ประเทศจีน โดยล่าสุดมีเปิดให้บริการแล้ว 2 สาขาที่เมืองหนานจิง (Nanjing)
นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะเปิดร้านให้บริการอีก 5 สาขาในเมืองหนานจิง และจะเปิดอีก 4 สาขาทางภาคเหนือของจีนภายในปีนี้รวมเป็น 11 สาขา โดยกลยุทธ์ก็คือก็เปิดในเมืองที่มีขนาดเล็กก่อน เพื่อสร้างการรับรู้และวางรากฐานของแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก และมีชื่อเสียงก่อน หลังจากนั้นจึงกระจายไปเปิดยังเมืองอื่น หากเป็นไปตามแผน หรือได้รับการตอบรับที่ดีมากก็จะขยายสาขาไปเปิดที่เซี่ยงไฮ้ เรียกว่าเป็นการเปิดตลาดที่เมืองรองก่อนบุกเมืองใหญ่ ไม่เช่นนั้นแบรนด์ของเราอาจจะโดนคู่แข่งบดบังจนธุรกิจไปไม่รอดได้

ปีหน้าขยับขยายในไทย
กิตตน์ บอกอีกว่า ผู้บริโภคชาวจีนนิยม และให้ความไว้วางใจในเรื่องคุณภาพของผลิตภัณฑ์จากประเทศไทยมาก โดยรสชาติที่นำไปจำหน่ายจะเป็นรสชาติที่บ่งบอกถึงอกลักษณ์ของความเป็นไทย เช่น ชาไทย ,ทุเรียน ,ต้มยำกุ้ง ,ฝอยทอง และกะเพราไก่ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม แบรนด์เองก็ต้องมีการปรับรสชาติให้เหมาะสมกับผู้บริโภคชาวจีน ซึ่งรับประทานหวานน้อยกว่าประเทศไทยด้วย เพื่อให้ตอบโจทย์กับพฤติกรรมในการบริโภค
เจตน์ บอกว่า การลงทุนในประเทศจีนเป็นการร่วมทุนในลักษณะที่นักธุรกิจชาวจีนเป็นผู้ออกทุนในการเปิดร้าน ส่วนแบรนด์จะร่วมทุนด้วยการนำองค์ความรู้ทางด้านการทำเบเกอรี่ไปเป็นหุ้นส่วน แม้ว่าอาจจะดูเสี่ยงอยู่บ้าง แต่หากไม่ทดลองเสี่ยงโอกาสที่เปดรออยู่อาจจะปิดลงไปโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลย
“เรามีแผนที่จะเปิดร้านในกลุ่มประเทศเออีซี (AEC) ด้วยเช่นกัน เพียงแต่ว่าในระยะนี้ต้องการมุ่งเน้นไปที่ประเทศจีนเป็นหลักก่อน วนการขยายสาขาในประเทศน่าจะเริ่มต้นอย่างจริงจังในปีหน้า โดยมองว่าจะขยายในกรุงเทพให้ได้เป็น 5 สาขา โดยที่เรา 2 คนทำหน้าที่ดูแลกันเอง และจะขยายไปตามหัวเมืองใหญ่อย่าง นครราชสีมา เชียงใหม่ ภูเก็ต เป็นต้น ซึ่งจะเป็นการขยายแบบหาพาทเนอร์ที่จะเข้ามาร่วมทุน โดยเรา 2 คนจะต้องมองเห็นว่าผู้ร่วมทุนมรีคามตั้งใจและมีเวลาให้กับธุรกิจ เพราะเราเชื่อว่าขนมปังนั้นมีชีวิต เพียงแค่ส่วนผสมผิด หรืออากาศที่แตกต่างกัน หากมไม่ได้รับการใส่ใจหรือรู้จริงขนมก็อาจจะขึ้นรูปไม่ได้อย่างที่ตั้งใจไว้ โดยแบรนด์ไม่ได้ต้องการขยายธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชน์ เพราะมีความเป็นห่วงเรื่องของคุณภาพในการผลิตที่อาจจะควบคุมไม่ได้“
กล้าแต่ต้องไม่ใจร้อน
ด้านหลักคิดในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จนั้น ทั้ง 2 คนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า มาจากแนวความคิดที่ใกล้เคียงกัน ผสมผสานกับการที่มีคุณพ่อของเจตน์คอยดูแลอยู่เบื้องหลัง และความกระหายในความสำเร็จทั้งคู่ หรือเรียกว่าเป็นวัยรุ่นที่ต้องการจะสร้างตัว และต้องการมีธุรกิจเป็นของตนเอง โดยมีเป้าหมายเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีความมั่นใจในผลิตภัณฑ์ เมื่อองค์ประกอบทุกอย่างรวมเข้าไว้ด้วยกันทำให้การดำเนินธุรกิจประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก
อย่างไรก็ตาม หากถามว่ามีข้อแนะนำอะไรที่จะให้กับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการทำธุรกิจ อันดับแรกจะต้องมีความกล้า แต่ต้องไม่ใจร้อน ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจของเรา 2 คนซึ่งมีระยะเวลาคืนทุนค่อนข้างเร็ว แต่เราก็ไม่ได้เร่งที่จะเปิดสาขา จะทำแบบที่เรารับได้ ดูตามความสามารถ ไม่ทำอะไรที่เกินตัว และโอกาสมีอยู่รอบตัว