“บี คริสปี้” เสิร์ฟไอเดียสร้างรายได้หลักล้าน
รูปแบบหนึ่งแห่งไอเดียในการทำธุรกิจก็คือการค้นหาวิธีแก้ปัญหาให้กับผลิตภัณฑ์ จนนำมาซึ่งอีกหนึ่งแนวทางในการทำธุรกิจที่สามารถขยายตลาด และเพิ่มจำนวนฐานลูกค้าให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น แบรนด์ “บี คริสปี้” ซึ่งบริหารงานโดย “วิชุดา ชละเอม” คืออีกหนึ่งตัวอย่างของผู้ประกอบการที่ Startup ธุรกิจใหม่ขึ้นมาจากความพยายามหาวิธีแก้ปัญหาให้กับธุรกิจเดิม
-จุดเริ่มต้นแห่งธุรกิจ
วิชุดา ในฐานะกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ็นกรีนสแน็ค จำกัด บอกถึงที่มาที่ไปของไอเดียในการทำธุรกิจ ว่า มาจากธุรกิจของครอบครัวซึ่งเปิดให้บริการเป็นร้านกาแฟ และจำหน่ายเบเกอรี่ใกล้กับมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่จังหวัดพิษณุโลก โดยหนึ่งในเมนูที่ได้รับความนิยมของร้านก็คือขนมบราวนี่ แต่ขนมดังกล่าวมีปัญหาที่สำคัญก็คือไม่สมารถเก็บไว้ได้นานแม้ว่าจะนำไปแช่เย็นก็ตาม ดังนั้น ตัวเธอจึงพยายามคิดค้นหาวิธีที่จะทำให้ขนมบราวนี่สามารถเก็บรักษาไว้รับประทานได้นาน เพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์จำหน่ายไปได้ทั่วประเทศ และส่งออกไปยังต่างประเทศได้ด้วย
เมื่อศึกษาหาความรู้ไปเรื่อยๆจึงทำให้ได้มาพบกับวิธีในการนำขนมบราวนี่ไปแปรรูปเป็นบราวนี่แครกเกอร์ หรือบราวนี่อบกรอบ โดยใช้ชื่อแบรนด์ว่า “คริสปี้บราวนี่” ซึ่งในระยะแรกก็เริ่มต้นจำหน่ายแบบถุงธรรมดา และได้รับการตอบรับที่ดีอย่างมากจากผู้บริโภค จนนำไปสู่การขยายช่องทางในการทำตลาดสู่ห้างโมเดิร์นเทรด และการขายบนช่องทางออนไลน์บริษัททั้งไลน์แอด (LINE@) และเพจเฟสบุ๊ก โดยมีทั้งลูกค้าจากภายในประเทศ และประเทศเพื่อนบ้านเป็นลูกค้าหลัก อีกทั้งยังมีในส่วนของตัวแทนจำหน่ายที่นำผลิตภัณฑ์ไปทำตลาดต่อบนช่องทางตลาดออนไลน์อื่นๆที่เปิดให้บริการอย่าง ช็อปปี้ (Shopee) และลาซาด้า (Lazada) เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีตลาดส่งออกไปยังประเทศฮ่องกง และล่าสุดเริ่มส่งผลิตภัณฑ์ไปยังประเทศจีนแล้ว
สำหรับจุดเด่นของผลิตภัณฑ์นั้น อยู่ที่สูตรของขนมที่คิดค้นและพัฒนาขึ้นมาเองจากธุรกิจของครอบครัว โดยไม่ใช้ส่วนผสมจากมาการีน (Margarine) แต่จะเลือกใช้เนย 100% มาเป็นส่วนผสม ทำให้ผลิตภัณฑ์ปราศจากไขมันทรานส์อย่างแน่นอน อีกทั้งยังไม่มีคลอเรสเตอรอล และมีไฟเบอร์ เป็นต้น
–บราวนี่อบกรอบจากข้าวไรซ์เบอร์รี่ 100%
วิชุดา บอกต่อไปอีกว่า ขณะนี้บริษัทได้มีการเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้นตามคอนเซ็ปป์ที่เรียกว่า “เทรนดี้สแนค” หรือขนมรับประทานเล่นตามความนิยม โดยล่าสุดได้ร่วมมือกับหน่วยงาน Innovative House ของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เพื่อทำการวิจัยและพัฒนา (R&D) ผลิตภัณฑ์บราวนี่อบกรอบจากข้าวไรซ์เบอร์รี่ (Riceberry) 100% ซึ่งถือว่าเป็นเจ้าแรกของประเทศไทยที่สามารถทำได้ จากเดิมที่ข้าวไรซ์เบอร์รี่จะถูกใช้เป็นส่วนผสมในการทำผลิตภัณฑ์ต่างๆเท่านั้น
บราวนี่อบกรอบไรซ์เบอร์รี่เป็นการต่อยอดผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่เคยพัฒนาแต่ยังทำไม่ได้ถึงขีดสุดจากการดำเนินการด้วยตัวบริษัทเอง โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะสอดรับกับกระแสความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันที่นิยมอาหารเพื่อสุขภาพ ซึ่งมีผลอ้างอิงจากห้องทดลอง หรือแลปว่ามีสารอาหารแกรมมา (GAMMA) จากน้ำมันรำข้าว (Rice bran oil) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระในผลิตภัณฑ์ และสารอาหารอื่นครบถ้วน
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะนำวัตถุดิบที่มีอยู่ในประเทศไทย เช่น ทุเรียน เป็นต้น มาเพิ่มความน่าสนใจให้กับผลิตภัณฑ์บราวนี่อบกรอบ โดยอาจจะนำมาใช้ในรูปแบบของกลิ่น หรือนำส่วนของเนื้อมาเป็นส่วนผสมผลิตภัณฑ์ตามแต่ความเหมาะสมในขั้นตอนการผลิต เพื่อขยายตลาดการส่งออกไปยังต่างประเทศ พร้อมกันนี้บริษัทยังดำเนินการเรื่องการยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์สำหรับรองรับตลาดส่งออกด้วยการขอการรับรองผลิตภัณฑ์จากหน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องหมายฮาลาล, มาตรฐานการผลิตผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นเกณฑ์ในการควบคุมการผลิตตลอดจนกระบวนการควบคุมให้ปฏิบัติตามของกองบริหารคุณภาพผลิตภัณฑ์แห่งรัฐหรือชุมชนนั้นๆ (GMP) และระบบการวิเคราะห์อันตรายและจุดวิกฤตที่ต้องควบคุมในการผลิตอาหาร (HACCP)
“ปัจจุบันผลิตภัณฑ์บราวนี่อบกรอบมี 6 รสชาติ ได้แก่ อัลมอนด์, ชาเขียว, ช็อกโกแลต, สตรอเบอร์รี่, ช็อกโกแลตชิพ และข้าวไรซ์เบอร์รี่ โดยที่ในระยะหลังได้มีการปรับเปลี่ยนชื่อแบรนด์ใหม่เป็น บี คริสปี้ แต่ก็ยังจำหน่ายทั้ง 2 แบรนด์ควบคู่กันไปภายใต้ผลิตภัณฑ์บราวนี่อบกรอบเหมือนกัน”
-ตั้งเป้ารายได้โตแตะ 10 ล้านบาท
วิชุดา บอกอีกว่า จากการไปร่วมงานไทยเฟ็กซ์ (THAIFEX) อย่างต่อเนื่องยังทำให้ผลิตภัณฑ์เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นจากผู้บริโภค โดยล่าสุดได้รับความสนใจที่จะนำผลิตภัณฑ์เข้าไปจำหน่ายเพิ่มเติมที่ต่างประเทศ ประกอบด้วย เวียดนาม, สิงคโปร์, จีน และฮ่องกง เป็นต้น โดยจากการดำเนินกลยุทธ์ทางการตลาดดังกล่าวเชื่อว่าจะทำให้รายได้ของบริษัทเติบโตขึ้นมาได้อยู่ที่ระดับ 10 ล้านบาท หรือโตขึ้นประมาณ 50% จากปีที่ผ่านมา ซึ่งบริษัทมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 5 ล้านบาท
ด้านหลักคิดในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จนั้น วิชุดามองว่า อยู่ที่การเปลี่ยนแปลง และปรับตัวต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้ได้อย่างรวดเร็ว โดยเชื่อว่าทุกอย่างย่อมมีอุปสรรคเกิดขึ้นระหว่างทาง แต่สิ่งที่สำคัญคือจะต้องไม่ท้อ และพยายามคิดในมุมบวก ซึ่งเวลาที่ธุรกิจเกิดปัญหาจะต้องแก้ไขให้ได้อย่างรวดเร็ว และแข็งแรง เรียกว่าจะต้อง “ล้มให้เร็วและลุกให้ไว“.