“MANOKO”จิวเวลรี่คุณภาพดีไซน์โดนใจ
ธุรกิจที่มีรากฐานแข็งแกร่งถือว่าเป็นข้อดีต่อการขยายต่อธุรกิจให้ครอบคลุมฐานลูกค้ามากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการส่งต่อให้กับบุคคลในครอบครัว หรือขายต่อออกมาในรูปแบบของแฟรนไชน์ ก็ย่อมสามารถทำได้ โดยมีอัตราในการประสบความสำเร็จทางธุรกิจที่สูงจากต้นทุนทางการตลาดที่มี
“กฤตยาภรณ์ มงคลประดิษฐ” คือหญิงเก่งแห่งวงการธุรกิจจิวเวลรี่ (Jewelry) ที่สร้างธุรกิจมาจากธุรกิจของครอบครัวสามี และพี่ชาย ซึ่งทำธุรกิจร่วมกันเกี่ยวกับเครื่องประดับ และได้มีการถ่ายทอดความรู้มายังตัวเธอ พร้อมให้โอกาสในการมีธุรกิจเป็นของตนเอง จนสามารถ “Startup” ธุรกิจขึ้นมาได้ภายใต้แบรนด์ “มาโนโกะ” (MONOKO JEWELRY)
เริ่มต้นธุรกิจ
กฤตยาภรณ์ ในฐานะ เจ้าของธุรกิจ บริษัท อินเคลียร์ จำกัด บอกถึงจุดเริ่มต้นของไอเดียในการทำธุรกิจ ว่า มาจากการที่สามี และพี่ชายทำธุรกิจเกี่ยวกับจิวเวลรี่ร่วมกันอยู่แล้ว วันนึ่งพี่ชายของสามีจึงเกิดความคิดในการให้ตนไปฝึกงานด้วย เพราะมองว่าในอนาคตข้างหน้าธุรกิจที่ทำอยู่น่าจะสามารถเติบโตได้แบบเป็นของคนใดคนหนึ่งไปเลย หรือที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่าโตใครโตมัน โดยที่ตนเองได้มีโอกาสเข้าไปฝึกงานอยู่ได้ปีกว่า ก็ประจวบเหมาะกับที่มีตึกแห่งหนึ่งประกาศให้เซ้ง
ทั้งนี้ พี่ชายของสามีก็เล็งเห็นว่านี่น่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่จะเริ่มต้นลงทุนให้เป็นของตนเอง โดยที่พี่ชายของสามีช่วยเหลือในการเซ้งตึกให้เพื่อให้ตนทำธุรกิจร่วมกับสามี พร้อมกับแบ่งลูกค้ามาให้ด้วย ซึ่งบริษัทของตนจะแบ่งธุรกิจออกเป็น 3 รูปแบบ หรือมีลูกค้าอยู่ 3 รูปแบบ ได้แก่ 1.การรับจ้างผลิต (Original Equipment Manufacturer : OEM) เพื่อให้ลูกค้าได้นำไปสร้างแบรนด์ของตนเอง หรือที่เรียกว่าการขายส่ง (Wholesale) ,2.การออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อนำไปเสนอให้ลูกค้านำไปจำหน่ายต่อ ( Original Design Manufacturer : ODM) และ3.การทำแบรนด์เป็นของตนเองภายใต้ชื่อ “มาโนโกะ”
สำหรับจุดเด่นขอผลิตภัณฑ์ที่บริษัทผลิตนั้น หากเป็นงานในรูปแบบ OEM จะมีกลไกลที่เป็นลิขสิทธิ์ ซึ่งจะแตกต่างจากเจ้าอื่นในตลาดซึ่งอาจจะเดินมาไม่ถึงจุดดังกล่าวนี้ อีกทั้งในส่วนของจิวเวลรี่เองก็สามารถเปลี่ยนเข้า เปลี่ยนออกได้ตามที่ลูกค้าต้องการ
ส่วนรูปแบบของ ODM บริษัทจะพยายามติดตามแนวโน้ม หรือเทรนด์ของตลาดเพื่อเสิรฟ์ให้กับลูกค้ารายย่อย โดยจะเน้นให้งานทั้งหมดสามารถจำหน่ายได้ อีกทั้งยังมีความยืดหยุ่นให้กับลูกค้า ทำให้ลูกค้ารายเล็กก็สามารถนำผลิตภัณฑ์ของบริษัทไปจำหน่ายต่อได้ ซึ่งบริษัทจะไม่กำหนดจำนวนการรับซื้อที่สูงจนเกินไป
ขณะที่ในส่วนของผลิตภัณฑ์ที่เป็นแบรนด์ “มาโนโกะ” จะอยู่การให้บริการหลังการขาย โดยจะมุ่งเน้นการทำให้ลุกค้ามีความสุข ตามอารมณ์ของชื่อแบรนด์ ซึ่งจะมีความจุ๋มจ๋ม และน่ารัก ซึ่งบริษัทจะมุ่งเน้นไปที่ความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก
ลุยงานแฟร์พร้อมขยายตลาดออนไลน์
กฤตยาภรณ์ บอกต่อไปอีกว่า ช่องทางการจำหน่ายของบริษัทจะมุ่งเน้นไปที่การออกขายแสดงสินค้า เพื่อให้ได้พบกับลูกค้าที่เป็น OEM และ ODM ได้โดยตรง ซึ่งจะทำให้เกิดขั้นตอนในการเจรจาในลำดับต่อไป โดยจะมีหน้าร้านเพื่อรองรับลูกค้าแถวสุรวงศ์ ติดกับไปรษณีย์กลาง ส่วนแบรนด์ มาโนโกะ จะมีจำหน่ายบนช่องทางออนไลน์อย่างเพจเฟสบุ๊ก (manokojewelry) ,ไลน์แอด(@manokojewelry) ,อินสตราแกรม หรือไอจี (manokojewelry_official)และเว็บไซด์ (www.manokojewelry.com) ส่วนทางด้านออฟไลน์แบรนด์จะมีหน้าร้านอยู่ที่ห้างอิเซตัน (Isetan) ชั้น 1
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของแผนในการขยายตลาดของบริษัทปีนี้จะเน้นที่การออกงานแสดงสินค้า และการทำตลาดบนช่องทางออนไลน์ โดยที่บริษัทจะมีทีมทางการตลาดเพื่อติดตามกระแสของตลาดว่าเป็นอย่างไร โดยที่ลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทจะมาจากต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา และแคนาดา เป็นต้น
“ทุกช่องทางการจำหน่ายของบริษัทจะเชื่อมต่อกันได้หมด อย่างเช่น ลูกค้าบางรายอาจจะติดต่อบริษัทผ่านมาทางออนไลน์ และสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ ขณะที่บางรายก็ต้องการมาเห็นผลิตภัณฑ์จริง ซึ่งบริษัทก็มีหน้าร้าน เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้ากลุ่มดังกล่าวนี้”
เล็งพัฒนาตลาดออนไลน์ให้ซื้อขายได้ในตัว
กฤตยาภรณ์ บอกอีกว่า ภาพรวมของธุรกิจที่ต้องการให้เป็นไปในอนาคต คือ การดำเนินการในเรื่องของการซื้อขายออนไลน์ทั้งทาด้าน OEM และ ODM โดยบริษัทกำลังเร่งดำเนินการเรื่องการพัฒนาข้อมูลบนช่องทางออนไลน์ เพื่อต้องการให้มีระบบการซื้อขายได้ในตัวเอง อีกทั้งยังต้องการมีตลาดที่เป็นของตนเอง ซึ่งเป็นตลาดที่ลูกค้าทางด้านจิวเวลรี่รู้จักมากขึ้น
ด้านหลักคิดในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ สิ่งที่ยึดถือว่ามาโดยตลอดก็คือความซื่อสัตย์ต่อคำพูดของตนเองต่อลูกค้า เมื่อพูดสิ่งใดออกไปแล้วก็ต้องทำให้ได้แบบที่บอก ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพอย่างที่ได้มีการประชาสัมพันธ์ออกไป และไม่มีการโกหกลูกค้าโดยที่จะตามใจลูกค้าตามความเป็นจริงที่ทำได้ ไม่ใช่จะต้องตามใจไปทุกเรื่อง หรือลูกค้าจะต้องได้ในทุกสิ่ง
“เป้ารายได้ของปีนี้อาจจะไม่ได้มุ่งเน้นมากนัก เนื่องจากปัจจุบันมีความตลาดจากตลาดน้อยมาก เพราะธุรกิจของบริษัทขึ้นอยู่กับผู้บริโภคในตลาด (End user) ซึ่งขณะนี้ส่วนใหญ่จะชะลอการใช้จ่าย จากความไม่แน่นอนในหลากหลายปัจจัยที่เกิดขึ้น”