MY LITTLE BOSS อาหารเด็กเกรดพรีเมี่ยม
My Little Boss ไอเดียสร้างสรรค์สู่อาหารเด็กเกรดพรีเมี่ยม จากจุดเริ่มต้นของการทำอาหารให้ลูกรับประทานด้วยตนเองมาโดยตลอด จนลูกเริ่มอายุได้ 7 เดือนทำให้ได้พบกับปัญหาของการรับระทานที่เลือกมากขึ้นของเด็กตามพัฒนาการของช่วงอายุ
ซึ่งมีผลทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง แต่ด้วยความที่ไม่ได้มีทักษะทางด้านการทำอาหารที่มากมายนัก จึงพยายามมองหาแนวทางในการแก้ปัญหา และคิดว่าคอบครัวอื่นที่มีลูกอายุขนาดเท่ากันก็น่าจะประสบปัญหาไม่แตกต่างกัน นภัทร กิจประเสิรฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล ดี จำกัด คุณแม่ลูกหนึ่งจึงเกิดประกายไอเดียในการ Startup ธุรกิจเกี่ยวกับอาหารเด็กเกรดพรีเมี่ยมภายใต้แบรนด์ “My Little Boss”
จากปัญหาสู่ธุรกิจ
นภัทร เล่าให้ฟังว่า เมื่อไอเดียดังกล่าวมีการคิดทบทวนจนตกผลึก ประกอบกับมีพ่อครัว (เชฟ) ประกอบอาหารที่รู้จัก จึงได้ทำการระดมสมองเพื่อสร้างระบบของธุรกิจขึ้นมาภายในระยะเวลาไม่ถึง 1 เดือน โดยมีทีมงานจากธุรกิจเดิมเกี่ยวกับทางด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ทำอยู่เข้ามาช่วย ซึ่งในเบื้องต้นได้ทำการโฟกัสกรุ๊ปจากกลุ่มเพื่อนที่มีลูกวัยเดียวกัน ทั้งในเรื่องของเมนูอาหาร ,แพคเก็จ ,ระบบการจัดส่ง และรสชาติประมาณ 2-3 สัปดาห์ โดยเริ่มดำเนินธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรมเมื่อเดือนกันยายน 2559 ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เนื่องจากมีกลุ่มครอบครัวที่ประสบปัญหาเดียวกันอยู่เป็นจำนวนมาก
ในช่วงต้นเรามีกำลังการผลิตได้เต็มที่ประมาณ 100 กล่องต่อวัน ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาดทำให้เราต้องเพิ่มจำนวนบุคคลกรเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต โดยมีเชฟ และแม่ครัวตำแหน่งละ 4 คน เพื่อตอบโจทย์ ซึ่งปัจจุบันสามารถมีกำลังการผลิตได้ที่ 300 กล่องต่อวัน โดยแบ่งกลุ่มลูกค้าออกเป็นอายุ 1-3 ปี และ 4-7 ปี เนื่องจากจะมีรายละเอียดเรื่องของสารอาหารที่ต้องการแตกต่างกัน ซึ่งขณะนี้ My Little Boss ทำรายได้ให้กับบริษัทอยู่ที่ประมาณ 2 ล้านบาทต่อเดือน
“กลยุทธ์ในการทำตลาดช่วงแรก จะใช้วิธีการส่งผลิตภัณฑ์ My Little Boss ไปให้กับกลุ่มดารา หรือผู้ที่อยู่ในวงการบันเทิง รวมถึงผู้สื่อข่าวที่มีลูก และกลุ่มเซเล็ปในสังคม ซึ่งส่วนใหญ่จะมียอดของการกดติดตามทางโซเชี่ยลมีเดียเป็นจำนวนมาก ควบคู่ไปกับการกระจายส่งไปให้กลุ่มเพื่อนได้ทดลองผลิตภัณฑ์ โดยเมื่อลูกหรือหลานได้รับประทานแล้วชอบก็จะมีการแนะนำกันแบบปากต่อปาก และเน้นการทำตลาดผ่านทางเพจของเฟสบุ๊ก (Facebook) และอินสตราแกรม (Instagram) เพื่อให้เปรียบเสมือนเป็นหน้าบ้านที่ลูกค้าเข้ามาชมผลิตภัณฑ์ รวมถึงให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ และอัพเดทคามเคลื่อนไหว หลังจากนั้นจึงมีการใช้งบทางการตลาดส่วนหนึ่งเพื่อขยายฐานลูกค้าให้กว้างขวางมากขึ้น”
เล็งเพิ่มรายได้สู่ 50 ล.
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีแผนที่จะเพิ่มจำนวนเชฟ และแม่ครัวเพื่อขยายกำลังการผลิตให้เพิ่มเป็น 500 กล่องต่อวัน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่ยังไม่ทั่วถึง รวมถึงเตรียมต่อยอดธุรกิจไปสู่อาหารที่เป็นขนมรับประทานเล่น (Snack) สำหรับเด็ก เพื่อไมให้ธุรกิจยึดติดอยู่กับวันหมดอายุของผลิตภัณฑ์ที่ไม่ยาวนานมาก โดยปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนของการศึกษา และวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัยที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านอาหารแห่งหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องของโภชนาการ เพื่อคัดสรรวัตถุดิบ และบรรจุภัณฑ์ที่มีความปลอดภัยโดยไม่ใส่สารปรุงแต่งรสชาติ และสารกันบูด
นอกจากนี้ ยังมองหาช่องทางในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม โดยคาดว่าจะเป็นร้านจำหน่ายอาหารประเภทคลีนฟู๊ด รวมถึงร้านอาหารออแกนิค และสถาบันการศึกษา เช่น โรงเรียนนานาชาติ และสาธิตจุฬาลงกรณ์ เป็นต้น เพื่อตอบโจทย์ของผู้ปกครองที่ต้องการอาหารแบบเร่งด่วน และไม่ต้องการเสียค่าจัดส่งสินค้า โดยเชื่อว่าจากกลยุทธ์การทำตลาดดังกล่าวจะทำให้รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นได้มากกว่า 1-2 เท่าต่อเดือนจากที่ผ่านมาหรือประมาณ 4 ล้านบาทต่อเดือน หรือประมาณ 50 ล้านบาทต่อปี
“ปัจจุบันบริการของบริษัทจะเป็นรูปแบบของการจัดส่งสินค้าให้ถึงบ้าน โดยมีแพคเก็จให้กับลูกค้าได้เลือกตั้งแต่ 2 วัน ,6 วันและ 1 เดือน ซึ่งมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 1,450 บาทไม่รวมค่าจัดส่ง โดยมีขอบเขตในการจัดส่งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ซึ่งส่วนใหญ่ทุกแพคเกจจะมีลูกค้าจองเต็ม เพราะเป็นลูกค้าประจำที่มีการใช้บริการอย่างต่อเนื่อง ส่วนเหตุผลที่เราไม่ต้องการนำผลิตภัณฑ์เข้าจำหน่ายในโมเดิร์นเทรดก็เพราะติดปัญหาเรื่องของอายุผลิตภัณฑ์ที่สั้นเป็นสำคัญ”
ขยายฐานลูกค้าออก ตจว.
นภัทร กล่าวต่อไปอีกว่า บริษัทยังมีแผนที่จะขยายพื้นที่ในการให้บริการไปสู่พื้นที่ต่างจังหวัดในอนาคต ซึ่งในเบื้องต้นอาจจะเป็นที่พัทยา ชลบุรี และระยอง เนื่องจากมีบริษัทเอกชนรายหนึ่งซึ่งกำลังจะเปิดให้บริการจัดส่งสินค้าแบบห้องแช่เย็นที่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้ทุกขั้นตอน และจัดส่งสินค้าเล็กๆได้ ขณะที่บริษัทเองก็จะต้องพัฒนาเรื่องของนวัตกรรมการแช่งแข็งอาหารด้วยความเร็วในระดับที่แบคทีเรียยังไม่เติบโตเพื่อรักษาความสด และคุณภาพของอาหาร โดยมีเป้าหมายพื้นที่ในการจัดส่งไม่เกิน 3 ชั่วโมง เพื่อรักษาอุณหภูมิในแบบที่บริษัทต้องการ
ขณะที่จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ My Little Bossอยู่ที่การปรุงสด โดยมีเมนูเลือกมากกว่า 100 รายการ ขณะที่ในส่วนของวัตถุดิบจะคัดสรรเฉพาะเกรดที่เป็นแบบพรีเมี่ยมไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเนื้อสัตว์ที่มีการรับประกันว่าไม่มีสารเร่งการเจริญเติบโต และผักที่จะต้องเป็นแบบออแกนิค เพื่อความมั่นใจของลูกค้าซึ่งต้องการผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดให้กับลูก นอกจากนี้ยังมีเรื่องของความสะอาดที่จะต้องให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะเด็กจะค่อนข้างไวต่อสิ่งแปลกปลอมที่เข้าไปในร่างกาย ที่สำคัญเราจะพยายามใช้เครื่องปรุงรสให้น้อยที่สุด แต่จะใช้วิธีการดึงรสชาติของอาหารออกมาด้วยวิธีธรรมชาติ
ด้านรูปลักษณ์ภายนอก และภายในของอาหารก็จะต้องมีสีสันที่แปลกตาจูงใจให้เด็กอย่างมีส่วนกับกิจกรรมในการรับประทานอาหาร เสมือนเป็นการสร้างประสบการณ์ให้กับเด็กตั้งแต่กระบวนการเลือกอาหาร การแกะอาหารออกเพื่อรับประทาน โดยจะแตกต่างจากพฤติกรรมในรูปแบบเดิมที่ผู้ปกครองจะเป็นผู้เตรียมอาหารและเด็กจะนั่งรอรับประทาน ซึ่งอาจจะไม่สร้างความรู้สึกต้องการรับประทานให้กับเด็กได้ อย่างไรก็ดี บริษัทยังเพิ่มความน่าสนใจด้วยการระบุหน้ากล่องอาหารเป็นชื่อเด็ก เพื่อสร้างความตื่นตาตื่นใจเวลาที่ผลิตภัณฑ์ไปส่ง และเรียกเด็กให้ออกมารับ จากเดิมที่ในชีวิตประจำวันตามปกติเด็กจะไม่มีใครส่งพัสดุ หรือไปรษณีย์ไปให้ จะมีก็แต่ของผู้ปกครอง
“ เวลาที่เราให้ผู้อื่นมาทำอาหารให้ลูกเรารับประทาน เราก็ต้องการความปลอดภัย เพราะฉะนั้นเราจึงนำความรู้สึกเหล่านี้มาใส่ไว้ในผลิตภัณฑ์ของ My Little Boss โดยที่ลูกของเราเองก็รับประทานด้วยทุกกล่อง ทุกวัน ทุกมื้อ ดังนั้น สิ่งที่เราเลือกให้ลูกก็จะเหมือนเลือกให้ลูกของลูกค้าได้รับประทานด้วย ซึ่งทุกอย่างจะต้องดีที่สุด หรือพรีเมี่ยมมากที่สุด”
นภัทร กล่าวปิดท้ายว่า เป้าหมายในระยะยาวของธุรกิจนั้น ต้องการให้ My Little Boss เป็นแบรนด์ที่คุณพ่อคุณแม่ไว้วางใจ หรือให้ความรู้สึกเหมือนได้ทำอาหารให้ลูกรับประทานด้วยตัวเอง เพราะเราเลือกสิ่งที่ดีที่สุดมานำเสนอ โดยอยากให้ My Little Boss เป็นตัวแทนของคุณพ่อคุณแม่ได้ ซึ่งเราจะติดตามผลตอบรับจากลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อนำมาปรับปรุงและพัฒนาการให้บริการให้ดียิ่งขึ้น โดยมีเป้าหมายการเติบโตให้ได้ 100% หรือ 120% ในทุกปีในระยะถัดไป