ASTRA LAB เวชสำอางจากห้องแลปสู่ธุรกิจเงินล้าน
โลกของธุรกิจไม่เคยหยุดนิ่งอยู่กับที่ฉันใด ผู้ทำธุรกิจเองก็ย่อมต้องไม่ทำตัวเองให้หยุดนิ่งอยู่กับที่ หรือพอใจแค่สิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน แคทลียา ท้วมประถม
คือหญิงเก่งที่เป็นเสมือนต้นแบบของนักธุรกิจที่ไม่เคยหยุดนิ่งทางกระบวนการความคิด ชอบที่จะคิดต่อยอดและวางเป้าหมายที่ท้าทาย เพื่อเป็นเส้นชัยให้ตัวเองได้ก้าวเข้าไปถึงด้วยทฤษฎีแห่งความเป็นไปได้
จากธุรกิจสู่ธุรกิจ
แคทลียา เล่าว่า ตนเองเป็นคนที่ทำธุรกิจมาแล้วหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการรับออกแบบโลโก้ แพคเกจจิ้ง สิ่งพิมพ์สำหรับธุรกิจ (Design Productionfor Business) ในฐานะกรรมการผู้จัดการ บริษัทเดอะดีไซน์ เอสเซนเชี่ยล จำกัด (The Design Essential) ,ธุรกิจสำหรับงานแต่งงาน เน้นการออกแบบการ์ดรวมถึงของชำร่วย และให้คำปรึกษาด้านที่เกี่ยวข้อง ในฐานะกรรมการผู้จัดการ บริษัทไอเดียเลานจ์ กรุ๊ป จำกัด (IdeaLounge Group) นอกจากนี้ยังเป็นคอลัมนิสต์ผู้เชี่ยวชาญด้านผู้ประกอบการ (Entrepreneurship) นักการตลาด และเจ้าของหนังสือ คิดใหญ่ แล้วไปให้ถึง ,คิดใหญ่ แล้วไปให้ถึง : คัมภีร์คนอยากรวย และคิดใหญ่ แล้วไปให้ถึง : ธุรกิจเล็กไม่ใช่แค่เงินล้าน
อย่างไรก็ตาม ด้วยความเป็นคนที่ไม่ชอบหยุดนิ่ง และมักจะมีไอเดียในการทำธุรกิจใหม่อยู่เสมอ ทำให้ปัจจุบัน แคทลียา มีตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท ดิไอเดีย เอสเซนเชียล จำกัด (The Idea Essential) ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตและจำหน่ายเวชสำอางแบรนด์ “ASTRA LAB” สำหรับผู้บริโภคทั้งผู้ชาย และผู้หญิง โดยเริ่มทำตลาดช่วงต้นปี 2560 ที่ผ่านมา มีลูกค้าในสัดส่วน 50% เท่ากันระหว่างทั้ง 2 กลุ่มดังกล่าว แต่ทั้งทั้งนั้น หลังจากที่ทำตลาดไปได้สักระยะหนึ่ง จึงเริ่มมองเห็นว่าตลาดในกลุ่มของผู้ชายน่าจะศักยภาพในการทำตลาดได้มากกว่า
ทั้งนี้ ตลาดกลุ่มลูกค้าผู้ชายถือว่าเป็นตลาดที่มีคู่แข่งไม่มากนัก อีกทั้งยังไม่มีผู้เล่นที่เป็นเจ้าใหญ่ในตลาด ทำให้ยังมีพื้นที่ที่บริษัทยังสามรถเข้าไปทำตลาดได้อีกมาก ด้วยความเชื่อมั่นในตัวของผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการวิจัย และพัฒนาจากห้องแลปที่ได้รับการยอมรับ นอกจากนี้ ยังพบว่าช่องว่างระหว่างแบรนด์ที่ขายในห้างสรรพสินค้า หรือร้านเครื่องสำอาง (Counter Brand) และร้านที่เป็นเวชสำอาง (Drugstore) หรือร้านขายยาที่มีเครื่องสำอางจำหน่ายยังมีอีกมาก โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีราคาจำหน่ายไม่สูงมาก แต่มีคุณภาพเทียบเท่ากับเครื่องสำอางที่ขาย ในเค้าท์เตอร์แบรนด์
ออนไลน์ผสานออฟไลน์
สำหรับกลยุทธ์ที่จะใช้ในการทำตลาดนั้น แคทลียา บอกว่า จะมุ่งเน้นการใช้ช่องทางทางด้านออนไลน์เป็นหลัก เนื่องจากเป็นช่องทางที่สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างตรงจุด อีกทั้งยังวัดประสิทธิผล และปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ได้ตามที่บริษัทต้องการไปทำตลาดในแต่ละกลุ่มแบบทันทีทันใด (Realtime) หากกลยุทธ์ที่ใช้ไม่สัมฤทธิ์ผล ที่สำคัญยังไม่ต้องใช้เม็ดเงินจำนวนมากในการลงทุน
อย่างไรก็ดี จะต้องควบคู่ไปกับกลยุทธ์ทางด้านออฟไลน์ โดยดำเนินการในรูปแบบของป่าล้อมเมือง ซึ่งจะเป็นการสร้างฐานลูกค้าจากต่างประเทศ และหัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัดก่อนเข้ามาที่กรุงเทพมหานคร โดยในส่วนของต่างประเทศบริษัทมีเครือข่ายที่เป็นพันธมิตรทางธุรกิจอยู่ที่ประเทศเมียนมาร์ และลาว ซึ่งจะใช้วิธีในการหาตัวแทนที่มีศักยภาพเข้ามาช่วยทำตลาด เพราะจะมีความเชี่ยวชาญในพื้นที่มากกว่า โดยกลุ่มลูกค้าของทั้ง 2 ประเทศถือว่ามีกำลังซื้อค่อนข้างมาก ขณะที่ในประเทศก็นำผลิตภัณฑ์เข้าไปจำหน่ายที่ร้านเวชสำอาง พร้อมทั้งหาตัวแทนจำหน่ายเข้ามาช่วยทำตลาดเช่นเดียวกัน
“ตอนนี้เรากำลังเริ่มหาตัวแทนจำหน่ายที่เมียนมาร์ และลาว เพราะสิ่งสำคัญในการเปิดตลาดคือการมีเครือข่าย และพันธมิตรทางธุรกิจที่ไว้ใจได้ รวมถึงเป็นที่รู้จักของคนในประเทศนั้น เช่นเดียวกับในประเทศที่เราเริ่มเจรจากับร้านเวชสำอางตามหัวเมืองขนาดใหญ่ โดยเชื่อว่าภายใน 2 เดือนจะสามารถนำผลิตภัณฑ์เข้าวางจำหน่ายได้ทั้งหมด ซึ่งสิ่งที่สำคัญก็คือการวางยุทธศาสตร์ที่ทำให้การทำตลาดทั้งในรูปแบบของร้าน และตัวแทนจำหน่ายไปด้วยกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเห็นผล บริษัทเองก็ช่วยเสริมทาวด้านออนไลน์ โดยที่ทุกช่องทางจะต้องเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน”
วางเป้ารายได้ 370 ล.ใน 2 ปี
จากกลยุทธ์ในการทำตลาดในรูปแบบดังกล่าว แคทลียาเชื่อว่า จะทำให้สัดส่วนลูกค้าของบริษัทที่เป็นผู้ชายเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 65% และเป็นผู้หญิงที่ 35% โดยมีเป้าหมายรายได้อยู่ที่ประมาณ 1 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งจะเป็นการเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป ตามกลยุทธ์ที่บริษัทจะมุ่งเน้นไปตามขั้นตอน และจะทำให้บริษัทมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 350-370 ล้านบาทในปี 2562 หลังจากนั้น บริษัทก็จะขยายช่องทางการจำหน่ายเข้าสู่ร้านเครื่องสำอาง และขยายฐานลูกค้าในกลุ่ม CLMV ให้ครบทุกประเทศ เนื่องจากบริษัทต้องการสร้างภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ให้เป็นเวชสำอาง เพราะมีกระบวนการผลิตและทดสอบจากห้องทดลองอย่างแท้จริง
สำหรับจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ ASTRA LAB นั้น อยู่ที่การนำส่วนผสมของสาหร่ายแดง (Astaxanthin) ซึ่งเป็นสารที่มีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระได้ดีที่สุด และได้รับการยอมรับจากทั่วโลกในเรื่องการดูแลริ้วรอย โดยบริษัทได้ทำการค้นคว้าและวิจัยสูตรร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ และทดสอบประสิทธิภาพในการใช้งานจริงกว่า 1 ปีก่อนที่จะทำออกมาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อจำหน่าย ซึ่งผลิตภัณฑ์ของ ASTRA LAB จะมีให้เลือกทั้งของผู้ชายและผู้หญิง โดยมีการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับการใช้งานตามสถานการณ์ และช่วงเวลาของแต่ละกลุ่มลูกค้า
“ตลาดกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้ชายถือว่าเป็นตลาดที่มีมูลค่ามาก เนื่องจากในปัจจุบันผู้ชายที่ดูแลตัวเองมีเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ผู้หญิงเองก็จะรู้สึกต้องการซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวให้กับผู้ชายคนสนิท ดังนั้น เราจึงได้กลุ่มลูกค้าทั้ง 2 กลุ่ม อย่างไรก็ดี มองว่าการทำตลาดยุคนี้หากผลิตภัณฑ์ไม่ดีจริงเชื่อว่าจะไม่สามารถอยู่ในตลาดได้นาน ยิ่งหากลูกค้าไม่ซื้อซ้ำยิ่งเป็นปัญหา แต่เรามั่นใจในประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์จึงกล้าที่จะทำตลาดในกลุ่มนี้ เพราะกลุ่มผู้ชายเป็นกลุ่มที่เมื่อถูกใจอะไรแล้วจะซื้อซ้ำไปตลอดไม่ค่อยปรับเปลี่ยน แต่สิ่งที่สำคัญก็คือจะต้องทำอย่างไรให้ลูกค้ารู้สึกอยากลองใช้ เพื่อต่อยอดไปสู่การเป็นลูกค้าประจำ”