เจ แอนด์ เจ บริหารงานแบบมืออาชีพโตอย่างยั่งยืน
มนุษย์ทุกคนมีความเชี่ยวชาญในแต่ละด้านที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่ามนุษย์คนไหนจะสามารถนำความเชี่ยวชาญนั้นมาสรรค์สร้างเป็นธุรกิจที่มั่งคงได้ เพราะพรสวรรค์ต้องมาคู่กับพรแสวง
หากมัวแต่นั่งรอโอกาส หรือไม่ยอมเดินหน้าไปสู่แสงสว่างที่เห็นริบหรี่ยังปลายทาง เพื่อสัมผัสความสว่างเจิดจ้าความสามารถที่มีก็คงจะหมดความหมายไปโดยเปล่าประโยชน์
สุจินต์ ทรัพย์ล้อม ประธานกรรมการ หจก. เจ แอนด์ เจ แวร์ เฮ้าส์ แอนด์ เซอร์วิส คือผู้ที่นำความเชี่ยวชาญเฉพาะตัวที่สะสมมาจากประสบการณ์ในการทำงานอย่างโชกโชน มาปรับประยุกต์ให้กลายเป็นธุรกิจของตนเอง และสามารถต่อยอดจนเติบโตได้อย่างมั่งคง และมีแผนที่จะขยายธุรกิจต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
จากความเชี่ยวชาญสู่ธุรกิจ
สุจินต์ บอกถึงที่มาที่ไปของธุรกิจว่า มีจุดเริ่มต้นมาจากประสบการณ์ความเชี่ยวชาญงานออกแบบโครงสร้าง ที่ตนเองสะสมมาตั้งแต่ช่วงที่เป็นอาจารย์ในสาขางานโลหะ ทำให้เกิดประกายไอเดียในการนำองค์ความรู้ทางด้านดังกล่าวมาต่อยอดให้กลายเป็นธุรกิจของตนเองครั้งแรกเมื่อปี 2537 โดยเริ่มจากการรับทำฝ้า เพดาน งานกระจก และเหล็ก รวมไปถึงการทำธุรกิจเปิดให้เช่าพื้นที่ห้องแถวเพื่อสำหรับจัดเก็บ และรับขนส่งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ให้กับบริษัท มินีแบไทย จำกัด
ทั้งนี้ จากการทำธุรกิจเปิดพื้นที่ให้เช่า และรับขนส่งอุปกรณ์ดังกล่าว ปรากฏว่าธุรกิจดังกล่าวได้สร้างรายได้ให้มีการเติบโตเป็นอย่างมาก ตนเองจึงมุ่งเน้นเดินหน้าขยายกิจการคลังสินค้าให้เช่าอย่างเต็มตัว ห้างหุ้นส่วนจำกัด เจแอนด์เจ แวร์ เฮ้าส์ แอนด์ เซอร์วิส จึงถือกำเนิดขึ้นอย่าเป็นทางการเมื่อปี 2544 ด้วยความสามารถผสมผสานกับการได้รับแรสนับสนุนจากบุษบา ทรัพย์ล้อม ผู้เป็นภรรยา ซึ่งมีประสบการณ์ทางด้านการวางระบบโรงงาน และการคุมคนงานจากที่มินีแบไทยมาก่อน จากความเกื้อหนุนกันและกันของประสบการณ์ทั้ง 2 คนทำให้กิจการของบริษัทเติบโตมาได้จนถึงปัจจุบัน
บริหารงานแบบมืออาชีพ
สำหรับจุดเด่นของ เจ แอนด์ เจ นั้น สุจินต์ บอกว่า มาจากการที่บริษัทให้บริการเช่าคลังสินค้าแบบครบวงจร รวมถึงรับบริหารจัดการคลังสินค้าตั้งแต่ตรวจสอบคุณภาพ ทำรายการ บรรจุหีบห่อ และบริการขนส่งทั้งภายในและต่างประเทศ โดยมีพื้นที่รวมกว่า 100,000 ตารางเมตร ซึ่งประกอบด้วย คลังสินค้า 4 แห่ง ในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะอยุธยา โดยส่วนหนึ่งเป็นคลังที่ได้มาตรฐานตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่ดีในการผลิตอาหาร (Good Manufacturing Practice : GMP ) ซึ่งจัดทำขึ้นโดยหน่วยงานมาตรฐานอาหารระหว่างประเทศ ทำให้สามารถใช้เก็บอาหารและเครื่องมือทางการแพทย์ได้
พร้อมทั้งมีพื้นที่ให้ลูกค้าสามารถประกอบชิ้นส่วนสินค้าได้ในบางขั้นตอนการผลิตได้ เพื่อช่วยให้ลูกค้าลดต้นทุนค่าแรงงาน ค่าขนส่ง และประหยัดเวลาในการผลิต นับเป็นการตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นระบบรักษาความปลอดภัยที่ได้มาตรฐาน ทั้งจัดสรรเจ้าหน้าที่ดูแล และมีระบบ CCTV 24 ชั่วโมง รวมถึงระบบป้องกันแมลงรบกวน ซึ่งแตกต่างจากคู่แข่งรายอื่น ๆ ที่ส่วนใหญ่ลูกค้าจะต้องจัดระบบรักษาความปลอดภัยเอง
ส่วนด้านการขนส่งสินค้านั้น บริษัทได้ติดตั้งโปรแกรมตรวจสอบสถานะการขนส่งเชื่อมกับระบบ GPS ที่ตัวรถขนส่ง เพื่อติดตามและควบคุมเส้นทางเดินรถ รวมทั้งใช้ Seal Lock ที่กำกับตรวจสอบได้ว่าสินค้าไปกับรถคันไหน ช่วยป้องกันการสูญหายของสินค้าระหว่างการขนส่ง ทำให้ได้รับมาตรฐาน ISO 9001:2008 และมาตรฐาน Q (มาตรฐานการใช้รถบรรทุกสินค้า) ขณะทีการปฏิบัติงานภายใน บริษัทเคร่งครัดเรื่องความปลอดภัยของพนักงานด้วยการให้ใส่ยูนิฟอร์มที่ Safety ตรวจสารเสพติดพนักงานขับรถ วางขั้นตอนการทำงานชัดเจน และมีแผนฉุกเฉินให้พนักงานปฏิบัติได้ทันท่วงที
จากความโดดเด่นดังกล่าว ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากธุรกิจยักษ์ใหญ่ทั้งในประเทศและต่างประเทศหลายรายที่เลือกใช้บริการระยtยาว ยกตัวอย่างเช่น ฮอนด้า และ F&N ในเครือไทยเบฟเวอเรจ เป็นต้น ด้านสัดส่วนรายได้ของบริษัทเฉลี่ยอยู่ที่ 30 ล้านบาทต่อเดือน โดยแบ่งเป็นรายได้จากการให้เช่าคลังสินค้า 40% การขนส่งสินค้า 33% และบริหารจัดการคลังสินค้า 27% ของรายได้ทั้งหมด
“ทั้งหมดนี้ทำให้บริษัทได้รับรางวัล Bai Po Business Awards by Sasin ครั้งที่ 12 ในมิติการบริหารจัดการด้านสินค้าและบริการที่สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า (Customer-Focused Product and Service) ,มิติการบริหารจัดการด้านการปฏิบัติการ (Operational Best Practice) จากธนาคารไทยพาณิชย์”
ตั้งเป้าสร้างรายได้ 600 ล้านบาทปี 60
ส่วนแผนการดำเนินธุรกิจในอนาคตนั้น สุจินต์ ตั้งเป้าที่จะสร้างรายได้ของ 2560 ให้ได้ประมาณ 600 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 20-30% จากปี 2559 ซึ่งบริษัทมีรายได้อยู่ที่ 400 ล้านบาท โดยจะมาจากการขยายพื้นที่ในการให้เช่าคลังสินค้า 2 แห่ง ประกอบไปด้วย การขยายพื้นที่เพิ่มเติมในเฟสที่ 5 ของริคมอุตสาหกรรมโรจนะอยุธยา และการเปิดพื้นที่ให้เช่าคลังสินค้าที่นิคมอุตสาหกรรมโรจนะปราจีนบุรี ซึ่งจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการได้ในช่วงปลายเดือนเมษายนนี้
นอกจากนี้ ในช่วงปลายปีที่ผ่านมาบริษัทได้มีกาลงทุนในการซื้อรถเป็นจำนวนมาก เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมขนส่งสินค้า ทำให้สามารถรองรับความต้องการของผู้ประกอบการได้เพิ่มมากขึ้น โดยจากการเพิ่มพื้นที่ในการให้เช่าคลังสินค้าเพิ่มขึ้นเป็น 130,000 ตารางเมตร และขยายจำนวนรถขนส่งสินค้า เชื่อว่าจะทำให้รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นได้ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้
“ในปีที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้ต่อเดือนอยู่ที่ประมาณ 30 ล้านบาท ส่วนในช่วงเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์บริษัทสามารถสร้างรายได้ต่อเดือนได้แล้วประมาณ 47-48 ล้านบาท โดยเชื่อว่าในระยะต่อไปหลังจากนี้จะมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 50 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้เป้าหมายรายได้ของบริษัทเป็นไปได้อย่างแน่นอน”