“PEPINO”แตกต่างที่ดีไซน์คุณภาพสมราคา
วัยรุ่นยุคใหม่เลือกที่จะมีธุรกิจเป็นของตนเองมากกว่าที่จะเลือกทำงานประจำเป็นพนักงานออฟฟิตรับเงินเดือนไปเดือนต่อเดือน แม้ว่าจะมีความเสี่ยงที่มากกว่าก็ตาม “ญาดา กำพลานนท์วัฒน์” คือสาวสวยคนรุ่นใหม่ที่ต้องการมีธุรกิจเป็นของตนเองเช่นกัน โดยเลือกทำธุรกิจที่ตนเองถนัดผ่านไอเดียที่กลั่นออกมาจากสมองจนสามารถออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ “เป๊บปิโน่” (Pepino) ซึ่งเป็นภาษาสเปน แปลได้ความหมายตามชื่อเล่นของเธอ
–สร้างธุรกิจจากความชอบ
ญาดา เจ้าของธุรกิจแบรนด์ “เป๊บปิโน่” บอกถึงจุดเริ่มต้นของธุรกิจว่า มาจากความที่ตนเองเป็นคนชื่นชอบการแต่งตัวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และโดยการใช้ชีวิตในแต่ละวันก็ชอบที่จะดูแฟชั่นการแต่งตัว หรือเสื้อผ้าสวยๆ จากร้านต่างๆ ในอินสตราแกรม หรือไอจี ในช่วงเวลาที่ว่าง ดังนั้น จึงคิดว่าน่าจะนำจุดเด่นดังกล่าวมาต่อยอดให้กลายเป็นธุรกิจ ซึ่งก็บังเอิญว่ามีเพื่อนที่แนะนำช่างที่มีฝีมือในการตัดเย็บที่อยู่ใกล้บ้านให้ ทำให้ความต้องการที่จะมีธุรกิจเป็นของตัวเองมีความเป็นไปได้มากขึ้น แม้ว่าตัวเธอเองจะไม่ได้จบทางด้านการออกแบบเสื้อผ้ามาก็ตาม แต่ก็สามารถที่จะถ่ายทอดความคิด และไอเดียกับช่างตัดเย็บจนออกมาเป็นผลิตภัณฑ์อย่างที่คิดได้
“ความคิดหลักก็คือต้องการที่จะมีธุรกิจเป็นของตนเอง โดยก่อนหน้านี้ตนก็ได้ทดลองทำผลิตภัณฑ์ที่เป็นคอนเฟล็กซ์เพื่อสุขภาพแบบพร้อมรับประทาน แม้ว่าตนเองจะไม่ได้ชื่นชอบการทำอาหารเลย แต่ก็เห็นว่าเป็นธุรกิจที่น่าสนใจจึงตัดสินใจที่จะทดลองทำ ซึ่งก็ปรากฏว่าคอนเฟล็กซ์ที่ทำเหม็นหืนไม่สามารถนำออกมาจำหน่ายได้ จนต้องล้มเลิกความคิดไป หลังจากนั้นเพื่อนจึงแนะนำให้เลือกทำธุรกิจที่ตนเองชอบ และแนะนำช่างตัดเย็บให้จนสามารถมีผลิตภัณฑ์ที่นำมาสร้างแบรนด์ได้”

ธุรกิจภายใต้แบรนด์ “เป๊บปิโน่” เกิดขึ้นมาได้โดยที่ตัวเธอเองมีส่วนร่วมแทบจะทุกขั้นตอนของการเป็นผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่ขั้นตอนของการออกแบบ แม้กระทั่งการเดินทางไปเลือกซื้อผ้าจากแหล่งด้วยตนเอง โดยไปตั้งแต่ยังไม่รู้จักเส้นทางจนปัจจุบันสามารถจดจำเส้นทางและเดินทางไปได้อย่างคล่องตัว ซึ่งตั้งแต่เริ่มต้นไอเดียต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือนถึงจะสามารถมีผลิตภัณฑ์ เพื่อนำมาจำหน่ายได้ โดยเริ่มต้นทำธุรกิจอย่างเป็นทางการประมาณเดือนมกราคม 61
–แตกต่างที่ดีไซน์และรายละเอียด
สำหรับจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ “เป๊บปิโน่” นั้น มองว่าอยู่ที่เรื่องของการดีไซน์ และการตัดเย็บ (Cutting) โดยในเรื่องของการดีไซน์จะมีการออกแบบให้สามารถใส่ในชีวิตประจำวัน และยังเป็นแบบกึ่งใส่ไปทำงานได้แบบเรียบร้อยด้วย ขณะที่การตัดเย็บก็จะเป็นแบบประณีต เรียกว่าเป็นการทำด้วยมือตลอดทั้งชิ้นงาน ไม่ใช่การตัดเย็บแบบโรงงาน ทำให้ราคาในการจำหน่ายอาจจะสูงขึ้นมาถึงระดับ 1,000 บาทปลายๆจนถึง 2,000 บาท โดยมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายตั้งแต่ระดับกลางจนถึงระดับสูง ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นกลุ่มวัยรุ่น หรือวัยที่เพิ่งเริ่มทำงาน โดยเป็นกลุ่มที่เพิ่งจบการศึกษา เพราะผลิตภัณฑ์จะเป็นแบบใส่ทำงาน และสวมใส่แนวแฟชั่นได้ในระดับหนึ่ง
“การที่ตนไม่ได้จบทางด้านการออกแบบ หรือดีไซน์โดยตรงทำให้การออกแบบชิ้นงานแต่ละชิ้นเป็นไปตามไอเดียที่ตนเลือก และมองว่าน่าสวมใส่ มีรายละเอียดที่ตัวของผลิตภัณฑ์ ซึ่งอาจจะไม่เป็นไปตามทฤษฎีเหมือนผู้ที่จบมาโดยตรง ทำให้ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์มีความแตกต่าง เพราะตนเป็นคนที่ชื่นชอบเรื่องการแต่งตัว และงานทางด้านแฟชั่นอยู่แล้วเป็นทุนเดิม โดยตนจะเป็นผู้ออกแบบ และกำหนดตรีม (Them) ของผลิตภัณฑ์ในสไตล์ที่ต้องการ หลังจากนั้นช่างตัดเย็บก็จะนำไปสเกตภาพเพื่อต่อยอดให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์”
–ขยายแบรนด์สู่ช็อป Multi-Brand
ญาดา บอกต่อไปอีกว่า ช่องทางการทำตลาดหลักของแบรนด์อยู่บนออนไลน์ผ่านเฟสบุ๊ก (Facebook) หรือไอจี (pepino.official) และจะมีการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าผ่านทางไลน์แอด (@pepino) ยังไม่มีช่องทางออฟไลน์ เพื่อเป็นการสร้างแบรนด์ให้เกิดการรับรู้ในกลุ่มของผู้บริโภคในวงกว้าง ทำให้มีกลุ่มลูกค้าทั้งในกรุงเทพมหานครฯ และต่างจังหวัด
อย่างไรก็ตาม สำหรับภาพรวมของธุรกิจในอนาคตนั้น แบรนด์มีแผนในการขยายเข้าสู่ตลาดออฟไลน์ โดยจะเป็นรูปแบบของการนำผลิตภัณฑ์ไปฝากจำหน่ายในช็อปที่จำหน่ายหลากหลายแบรนด์ในร้านเดียว หรือมัลติแบรนด์ (Multi-Brand) มากกว่าที่จะเลือกเปิดร้านจำหน่ายด้วยตนเอง เนื่องจากหากสังเกตจากพฤติกรรมของผู้บริโภคแล้วจะพบว่า จะชื่นชอบการเข้าช็อปที่มีหลากหลายแบรนด์ให้เลือกมากกว่าช็อปที่จำหน่ายเพียงแบรนด์เดียว เพราะมีผลิตภัณฑ์ให้เลือกมาก และสะดวกสบายกว่า โดยมองว่าน่าจะเป็นร้าน SOS ซึ่งมีหลายสาขาที่เปิดจำหน่ายอยู่

“การที่เราเลือกฝากผลิตภัณฑ์จำหน่ายที่ช็อปซึ่งมีหน้าร้านอยู่แล้ว ส่วนหนึ่งก็เพราะช็อปดังกล่าวจะช่วยทำตลาดให้ อีกทั้งยังได้แบรนด์ของช็อปมาช่วยส่งเสริมแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นด้วย หรือเรียกว่าเป็นการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายได้อีกช่องทางหนึ่ง ที่สำคัญยังมีความเสี่ยงน้อยกว่า”
–คุณภาพคุ้มราคา
ญาดา บอกต่อไปอีกว่า แบรนด์มีความตั้งใจที่จะออกผลิตภัณฑ์คอลเลคชั่นใหม่ในทุก 3 เดือน เพื่อเป็นทางเลือกเพิ่มเติมให้กับผู้บริโภค แต่ก็อาจจะมีคอลเลคชั่นใหม่ที่ออกมาทำตลาดในช่วงเทศกาลสำคัญสอดแทรกบ้าง แต่จะไม่ได้มีกำหนดที่ชัดเจนว่าจะต้องออกแน่นอนในเทศกาลใด
ส่วนหลักคิดในการทำธุรกิจนั้น ตนจะมุ่งเน้นเรื่องคุณภาพเป็นหลัก เพราะด้วยราคาจำหน่ายของแบรนด์ทำให้ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีเรื่องของดีไซน์ รวมถึงการเลือกเนื้อผ้าชั้นดีที่ไม่ใช่แบบที่มีวางจำหน่ายทั่วไปในตลาด เพื่อให้ลูกค้าได้มองเห็นถึงความคุ้มค่า และความเหมาะสมของราคาที่ต้องจ่ายเพื่อเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์
หากถามว่าเหตุใดคนรุ่นใหม่ต้องการมีธุรกิจเป็นของตนเองมากกว่าที่จะเลือกทำงานประจำเป็นพนักงานออฟฟิต ในความคิดเห็นส่วนตัวมองว่าในยุคปัจจุบันการที่จะทำงาน และเติบโตเป็นผู้บริหารมีเงินเดือนหลักแสนบาทนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งการที่เพิ่งจบการศึกษามาได้ไม่นาน และอายุยังน้อยหากได้มีโอกาสทำธุรกิจ แม้ว่าจะล้มลุกคลุกคลานบ้างในช่วง 2-3 ปี ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรยังสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ ดีกว่าทำงานประจำไปเรื่อยๆ และเพิ่งรู้ตัวว่าไม่ชอบหากจะออกมาทำธุรกิจก็อาจจะสายเกินไป ตนจึงต้องการลองดูว่าจะทำได้หรือไม่ ซึ่งดีกว่ามาเสียดายในภายหลัง
” มาถึงตอนนี้ตนก็ยังรู้สึกเสียดายที่เพิ่งเริ่มต้นทำธุรกิจเป็นของตนเอง หลังจากที่จบการศึกษามาได้ 1-2 ปี ในขณะที่ตลาดมีการเติบโตเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีการแข่งขันที่รุนแรง เพราะตนมองว่าการทำอะไรตามกระแสอาจจะทำให้ธุรกิจโตได้ไม่มากอย่างที่ควรจะเป็น “.