“โยเบล”/“ปาป้า” แบรนด์เพื่อสุขภาพสร้างธุรกิจยั่งยืน
เป้าหมายของการสร้างรายได้ของมนุษย์ส่วนใหญ่คือการมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ได้เป็นนายของตัวเอง และมีธุรกิจที่มั่นคง พชรวรรณ พุกบุญมี คือสาวสวยที่มุ่งมั่นสร้างธุรกิจของตัวเองจากประสบการณ์การทำงาน จนนำไปสู่การสร้างแบรนด์ที่ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภค
จากประสบการณ์สู่ธุรกิจ
พชรวรรณ กล่าวถึงจุดเริ่มต้น และที่มาที่ไปของการทำธุรกิจ ว่า เดิมทีเธอเองก็ทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนตามปกติทั่วไป แต่ด้วยความที่ได้ทำงานทางด้านการตลาด ทำให้มีประสบการณ์ในเรื่องของการนำผลิตภัณฑ์เข้าไปจำหน่ายในห้างสรรพสินค้า รวมถึงการเจรจาต่อรองธุรกิจ ประกอบกับที่มีความคิดซึ่งต้องการจะมีธุรกิจเป็นของตนเองอยู่แล้วเป็นทุนเดิม ทำให้เธอเริ่มมองหาผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับเธอ และเป็นที่ต้องการของตลาด คำตอบที่ได้ก็คือเครื่องสำอาง เพราะเธอก็คือผู้หญิงคนหนึ่งที่รักสวยรักงาม
“การเลือกผลิตภัณฑ์เราต้องอิน ต้องชอบก่อน หากไม่อินเราจะทำงานไม่ได้ เราต้องมีความสนใจในสินค้าด้วย หากให้ไปขายอุปกรณ์ไอทีก็คงทำไม่ได้ โดยมองว่าเรื่องความสวยความงามเป็นอะไรที่ใกล้เคียงผู้หญิงที่สุด จึงเลือกสินค้ากลุ่มนี้มาสร้างเป็นธุรกิจของตัวเอง”
ก้าวแรกสำคัญเสมอต่อการทำธุรกิจ โดย พชรวรรณ เลือกที่จะมุ่งเน้นการทำตลาดด้วยการส่งออกไปที่ประเทศจีนก่อนประมาณ 3 ปี เพื่อเป็นการทดสอบตลาดว่าจะตอบรับกับผลิตภัณฑ์มากน้อยเพียงใด และจะมีโอกาสทางการขายหรือไม่ โดยจากการดำเนินการดังกล่าวทำให้รู้ว่าจะต้องมีการทำแพคเกจจิ้งให้น่าสนใจ เพราะเป็นภาพลักษณ์แรกที่ผู้บริโภคจะสนใจ และนำมาซึ่งการทดลองใช้สินค้าในที่สุด เพราะแม้ว่าผลิตภัณฑ์จะดีเพียงใดหากผู้บริโภคไม่สนใจ และมีโอกาสได้ทดลองใช้ก็ไม่มีประโยชน์
“เมื่อนำผลิตภัณฑ์เข้ามาทำตลาดในประเทศในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา แพคเกจจิ้งจึงมีรูปร่างหน้าตาที่ปรับเปลี่ยนไป โดยเราสร้างภาพลักษณ์ให้เป็นเหมือนแบรนด์พรีเมี่ยมแต่ราคาคนไทย แบรนด์ “โยเบล” จึงเริ่มเป็นที่สนใจ และได้รับการตอบรับจากผู้บริโภค”
สร้างความแตกต่าง
พชรวรรณ บอกต่ออีกว่า สิ่งที่สำคัญอีกอย่างของการสร้างแบรนด์ “โยเบล” คือความแตกต่าง โดยเลือกทำเป็นสครัปเป็น 3 อิน 1 ซึ่งสามารถใช้ได้ทันทีในตอนที่อาบน้ำ เพราะตามปกติการสครัปผิวจะต้องทำหลังจากอาบน้ำ ทำให้เสียเวลาและเป็นข้อด้อยของสครัปที่ผู้บริโภคไม่นิยมใช้ เราจึงปรับปรุงสูตรให้เป็นเสมือนครีมอาบน้ำ ผู้บริโภคจะได้ทั้งการอาบน้ำ สครัป และการบำรุงผิวไปด้วยในขั้นตอนเดียว โดยสูตรแรกที่ทำตลาดคือ สูตรบำรุงผิวให้กระจ่างใส (Whitening) ซึ่งมีจุดจำหน่ายหลักอยู่ที่ร้านวัตสัน (Watsons)
อย่างไรก็ดี ธุรกิจจะต้องไม่หยุดนิ่งเราจึงได้ดำเนินการต่อยอดผลิตภัณฑ์ไปสู่สูตรการบำรุงผิวด้วยมอยเจอร์ไรซ์เซอร์ (Moisturizer) เพื่อขยายฐานลูกค้า โดยในปี 2561 จะเพิ่มช่องทางในการทำตลาดไปสู่การจำหน่ายที่ร้านบูท และห้างโมเดิร์นเทรดทั้งเทสโก้โลตัส และท็อปซุบเปอร์มาร์เก็ต พร้อมแตกไลน์ผลิตภัณฑ์ไปสู่ครีมอาบน้ำ และเพิ่มโลชั่นบำรุงผิวในไตรมาสที่ 3/61 เพื่อให้ตอบโจทย์กับช่องทางในการจำหน่าย และให้ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ในกลุ่มบิวตี้ (Beauty)
รุกตลาดอาหารเพื่อสุขภาพ
นอกจากนี้ พชรวรรณ ได้ขยายธุรกิจไปสู่การจำหน่ายอาหารเพื่อสุขภาพ โดยร่วมทุนกับหุ้นส่วนในการก่อตั้งบริษัท บลูโค้ดเดอร์ จำกัด ภายใต้แบรนด์ “ปาป้า” ซึ่งผลิตภัณฑ์กลุ่มแรกที่ออกมาได้แก่ เมล็ดทานตะวัน และเมล็ดฟักทอง โดยมีจุดเด่นอยู่ที่การคัดไซส์ขนาดใหญ่พิเศษจากการนำเข้าเมล็ดจากต่างประเทศ และการปรุงรสที่เข้าไปถึงเมล็ดภายในเปลือก ซึ่งปัจจุบันมีวางจำหน่ายแล้วที่วิลล่า ซุบเปอร์มาร์เก็ต ลอร์สัน และแมคโคร เป็นต้น โดยมีแผนที่จะเข้าไปวางจำหน่ายในเซเว่นอีเลฟเว่นประมาณไตรมาส 1/61 รวมถึงขยายไปสู่โลตัส และตั้งเป้าจะขยายให้ครอบคุลมไฮเปอร์มาร์เก็ตทั้ง 100% ในตลาด
ขณะที่ในระยะต่อไปก็จะเพิ่มไลน์ผลิตไปสู่เมล็ดแตงโม ผักและผลไม้อบแห้ง โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ดังกล่าวนี้จะอยู่ภายใต้แบรนด์ “ปาป้าฮัท” อย่างไรก็ตามในกลุ่มอาหารเพื่อสุขภาพ บริษัทยังเตรียมออกเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพสำหรับสุภาพสตรีภายใต้แบรนด์ “ปาป้าเฟรซ” ประมาณไตรมาส 3/61 และผลิตภัณฑ์ที่เป็นประเภทเครื่องปรุงภายใต้แบรนด์ “ปาป้าเชฟ” ประมาณปี 62 โดยทุกโลโก้ของปาป้าจะเชื่อมโยงต่อกันทั้งหมด เพื่อให้เป็นแบรนด์ของครอบครัว “ปาป้า” ซึ่งจะช่วยสร้างการรับรู้ให้กับผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น
ส่วนการทำตลาดในต่างประเทศ ได้มีการเจรจากับตัวแทนจำหน่ายแล้วที่ประเทศฟิลิปินส์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น บริษัทต้องการที่จะดำเนินการทุกอย่างให้พร้อมก่อนในประเทศ หลังจากนั้นจึงค่อนขยายไปต่างประเทศตามแผนทางการตลาดที่วางเอาไว้
เป้ารายได้ 90 ล.ปี 61
พชรวรรณ ยังได้กล่าวต่อไปถึงเป้าหมายทางด้านรายได้ด้วยว่า ปี 61 ในกลุ่มของอาหารเพื่อสุขภาพคาดว่าจะมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 60 ล้านบาท ส่วนผลิตภัณฑ์ทางด้านความสวยความงามน่าจะอยู่ที่ประมาณ 30 ล้านบาท โดยคาดว่าภายใน 3-5 ปีจะสามารถทำรายได้ได้ประมาณ 350 ล้านบาท และมีแผนที่จะนำบริษัท บลูไค้ดเดอร์ จำกัด เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในอีก 5 ปี โดยขั้นตอนในปัจจุบันได้มีการดำเนินการเรื่องการว่าจ้างที่ปรึกษาทางการเงิน และดำเนินการเรื่องการจัดทำระบบบัญชีเพื่อเตรียมความพร้อมเรียบร้อยแล้ว
ภาพรวมของธุรกิจในอนาคตนั้น ต้องการเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อการอุปโภค และบริโภค (FMCG) ในกลุ่มเพื่อสุขภาพ โดยเมื่อขยายผลิตภัณฑ์เข้าสู่ช่องทางโมเดิร์นเทรดได้ครอบคลุมแล้ว จะขยายช่องทางไปสู่การจำหน่ายในร้านจำหน่ายสินค้าตามหัวเมืองต่างๆของประเทศ โดยเราให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์เป็นอย่างมาก เพราะเราต้องการสร้างธุรกิจที่ยั่งยืนในอนาคต ดังนั้นแบรนด์จึงมีความสำคัญ
“ความมั่นใจคือหัวใจสำคัญในการทำธุรกิจ เพราะเมื่อเรามั่นใจในผลิตภัณฑ์ที่จะนำเสนอสู่ผู้บริโภคว่าจะต้องตอบโจทย์ความต้องการของตลาดได้ หากนำผลิตภัณฑ์ไปจำหน่ายที่ใดก็จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับพาทเนอร์ที่เราทำธุรกิจร่วมด้วย เนื่องจากความมั่นใจจะสามารถบ่งบอกตัวตนของผลิตภัณฑ์ได้เอง หากเราผู้ซึ่งเป็นเจ้าของยังมีเครื่องหมายคำถามต่อผลิตภัณฑ์ก็คงไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องนัก” คำตอบจาก พชรวรรณ เมื่อถูกถามถึงกุญแจดอกที่นำพาไปสู่ความสำเร็จบนโลกธุรกิจ