วุ้นดำเนิน ตอบโจทย์ตลาดโกยรายได้ 100 ล้าน
ธุรกิจต้องมีการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ เพื่อให้ตอบสนองกับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตามยุคสมัย “ทิพย์โอสถยาไทย” ผู้ผลิตและจำหน่ายยาเวชภัณฑ์
เป็นอีกหนึ่งองค์กรธุรกิจที่มีการขยับปรับเปลี่ยน และประสบความสำเร็จได้ด้วยดี เมื่อ 3 ผู้บริหารและผู้ร่วมก่อตั้งอย่าง นพพล ภู่แย้ม ,จิรวุธ เอี่ยมละออ และธนุวัต ลี้สุทธิพรชัย ได้มีแนวคิดในการคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ขึ้น จนนำไปสู่การ Startup ธุรกิจประเภทอาหารภายใต้แบรนด์“วุ้นดำเนิน”
คัดสรรสิ่งที่ดีสู่ผู้บริโภค
นพพล ในฐานะกรรมการผู้จัดการ บริษัท ดำเนินฟู้ด จำกัด เป็นตัวแทนเล่าให้ฟังว่า วุ้นดำเนิน เกิดขึ้นจากการต้องการสร้างความแตกต่างทางด้านคุณภาพ โดยให้ความใส่ใจในเรื่องของรสชาติที่หอมหวาน เน้นความปลอดภัยที่เป็นผลดีต่อสุขภาพจากการคัดสรรวัตถุดิบอย่างพิถีพิถัน โดยเลือกใช้มะพร้าวที่ได้มาจากสวนมะพร้าวแถบลุ่มน้ำแม่กลอง ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งที่สามารถปลูกมะพร้าวน้ำหอมพันธุ์ที่ดีที่สุดของประเทศไทย แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือการเลือกสรรเฉพาะมะพร้าวที่มาจากสวนออร์แกนิกส์ที่มีกระบวนการปลูกแบบปลอดสารพิษ 100% โดยจะให้ความหอมหวานมากกว่ามะพร้าวที่ปลูกโดยทั่วไป ทำให้วุ้นดำเนินมีจุดเด่นที่สามารถเข้าไปอยู่ในใจของผู้บริโภคได้อย่างไม่ยากเย็น
นอกจาก วุ้นดำเนิน จะมีกระบวนการผลิตที่คัดสรรมะพร้าวจากสวนออร์แกนิกส์แล้ว ยังมีการนำส่วนผสมจากดีบุกและสาหร่ายแดงที่มีสารเอสต้าแซนติน ซึ่งมีคุณสมบัติในการช่วยเรื่องของการบรรเทาอาการเมื่อยล้า รวมถึงทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นมาเป็นส่วนประกอบด้วย ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจให้กับผู้บริโภคในยุคปัจจุบันที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของสุขภาพได้อย่างตรงจุด
อัดงบ 30 ล้านขยายกำลังผลิต
สำหรับในปีนี้บริษัทจะมีการลงทุนประมาณ 30 ล้านบาท เพื่อขยายโรงงาน รวมถึงเพิ่มกำลังการผลิต และการคิดค้นวัตกรรมใหม่เพื่อยืดอายุของผลิตภัณฑ์ให้ยาวนานกว่าเดิม ซึ่งจะช่วยทำให้บริษัทสามารถขยายตลาดต่างประเทศไปสู่โซนของประเทศในกลุ่มของสหภาพยุโรป (EU) และสหรัฐอเมริกาได้ตามกลยุทธ์ทางการตลาดที่วางแผนเอาไว้ อีกทั้งยังเป็นการตอบสนองการเติบโตของยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้น 30-40% จากปีที่ผ่านมาด้วย
ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวบริษัทได้ร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้การสนับสนุนของภาครัฐผ่านโครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย (iTAP) ซึ่งจะเสาะหาเอสเอ็มอีที่มีผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการยอมรับ เพื่อนำมาต่อยอดไปสู่งานวิจัยเพื่อเพิ่มมูลค่า และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขาดย่อม หรือ สสว. โดยคาดว่าจะดำเนินการได้แล้วเสร็จภายในปีนี้
ลุยโมเดิร์นเทรด/ขยายตลาด ตปท.
ขณะที่การขยายฐานลูกค้าของบริษัทปีนี้ จะม่งเน้นการขยายช่องทางในการจำหน่ายไปสู่โมเดิร์นเทรดแบบครบวงจร และซุบเปอร์สโตร์อย่างโลตัส และบิ๊กซี เพื่อครอบคลุมฐานลูกค้าให้ได้มากยิ่งขึ้น จากเดิมที่ผลิตภัณฑ์จะมีวางจำหน่ายอยู่ที่ท็อปซุบเปอร์มาร์เก็ต (Tops Supermarket ) ,แมคแวลู่ (Max Valu) และแฟมิลี่มาร์ท (Family Mart) อีกทั้งยังเปิดรับตัวแทนจำหน่ายของแต่ละจังหวัด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะต้องผ่านการพิจารณาอย่างรอบครอบจากบริษัทว่ามีศักยภาพที่เพียงพอ เพื่อควบคุมคุณภาพของผลิตภัณฑ์
ด้านตลาดต่างประเทศจะขยายฐานลูกค้าไปในกลุ่ม EU และสหรัฐฯ โดยมีตรารับรองอาหารและผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกส์ของสหรัฐฯ (U.S. Department of Agriculture : USDA) เป็นใบเบิกทางที่จะช่วยการันตีผลิตภัณฑ์ให้สามารถทำตลาดได้อย่างสะดวกมากขึ้นในประเทศดังกล่าว
“ใบรับรอง USDA เป็นเสมือนข้อได้เปรียบของบริษัทในการเข้าไปทำตลาดใน EU และสหรัฐฯเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นออร์แกนิกส์ เนื่องจากหลายผลิตภัณฑ์ไม่ใส่ใจที่จะดำเนินการเพื่อขอใบรับรองดังกล่าว เพราะต้องใช้เวลา 3-4 ปีกว่าจะได้รับใบรับรอง อีกทั้งยังมีกระบวนการตรวจสอบที่ละเอียดอย่างมากตั้งแต่เรื่องของดินที่ปลูก และน้ำที่ใช้ เป็นต้น โดยทั้ง 2 ทวีปดังกล่าวจะให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างมาก”
การทำตลาดของทั้ง 2 ทวีปดังกล่าวนั้น จะเป็นการดำเนินการร่วมกับกรมการค้าภายใน และกรมส่งเสริมการส่งออก ในการออกงานแสดงสินค้าเพื่อสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักของผู้บริโภค หลังจากที่ผ่านมาได้มีการส่งผลิตภัณฑ์ไปทดลองตลาดแล้วในบางประเทศของ EU และมียอดคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นการขนส่งไปทางเครื่องบินในปริมาณที่ไม่มาก เนื่องจากติดปัญหาเรื่องของอายุผลิตภัณฑ์ที่ไม่มาก แต่จากนวัตกรรมที่บริษัทกำลังดำเนินการจะทำให้บริษัทสามารถส่งสินค้าไปทำตลาดได้มากขึ้นผ่านทางเรือขนส่งสินค้า
วางเป้าโตเกิน 100 ล้าน
นายนพพล กล่าวต่อไปอีกว่า จากการดำเนินกลยุทธ์ดังกล่าวเชื่อว่าจะทำให้รายได้ของบริษัทในปี 2560 เติบโตเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาซึ่งมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 100 ล้านบาทอีก 20-30% และจะเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากที่บริษัทได้มีการลงทุนขยายโรงงาน และเพิ่มกำลังผลิต นอกจากนี้ บริษัทยังเพิ่มผลิตภัณฑ์ไปสู่การผลิตวุ้นธัญพืชในน้ำลำไย วุ้นน้ำเก๊กฮวย และวุ้นน้ำสตอร์เบอร์รี่ เพื่อขยายฐานลูกค้า และแก้ปัญหาวัตถุดิบมะพร้าวที่ไม่เพียงพอต่อปริมาณความต้องการ
“ความจริงแล้วบริษัทตั้งเป้าที่จะมีการเติบโตขึ้นประมาณ 50% จากปีที่ผ่านมา แต่ด้วยความที่กำลังการผลิตของบริษัทยังไม่เพียงพอทำให้ความสามารถในการทำรายได้จึงเติบโตได้อยู่ที่ประมาณ 20-30% แต่เมื่อทุกอย่างที่กำลังดำเนินการอยู่แล้วเสร็จ เชื่อว่ายอดรายได้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง”