เรดดี้แพลนเน็ตครบเครื่องเรื่องการตลาดออนไลน์
ปัจจุบันเทคโนโลยีกำลังเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ของคนทุกเพศทุกวัย แต่ใครเลยจะรู้มาก่อนว่าจะมากมายจนแทบจะกลายเป็นอวัยวะชิ้นสำคัญของร่างกายไปแล้ว
ทรงยศ คันธมานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรดดี้เน็ต จำกัด คือผู้ที่มองเห็นแนวโน้มที่สำคัญดังกล่าว จนสามารถนำพาธุรกิจให้เติบโตมาได้อย่างสง่างาม
จากความเชื่อมั่นสู่ความมั่นคงทางธุรกิจ
ทรงยศ กล่าวถึงที่มาที่ไปของธุรกิจอย่างภาคภูมิใจว่า บริษัท เรดดี้แพลนเน็ต จำกัด ถือเป็นบริษัทรายแรกของประเทศไทยที่ให้บริการซอฟท์แวร์สำหรับทำเว็บไซด์สำเร็จรูป (DIY Website) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2543 จากการมองทะลุอุปสรรคหาช่องทางสร้างธุรกิจได้ แม้ขณะนั้นจะเป็นยุคที่ไม่เหมาะกับการทำธุรกิจไอที เพราะอยู่ในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังแย่ และเป็นยุค Y2K ที่คาดการณ์กันว่าการเปลี่ยนปีคริสต์ศักราชจาก 19 มาเป็น 20 จะทำให้เกิดปัญหากับระบบคอมพิวเตอร์ทั่วโลก และเป็นช่วงภาวะฟองสบู่ของธุรกิจดอทคอมแตก กระทบธุรกิจออนไลน์หลายแห่ง
อย่างไรก็ตาม ด้วยความเชื่อมั่นว่าสื่อเว็บไซต์เป็นเครื่องมือสำคัญของทุกธุรกิจ โดยเฉพาะกับกลุ่มธุรกิจ SME จำนวนมากที่ต้องการมุ่งเข้าหาเว็บไซต์ในอนาคตอย่างแน่นอน จึงตัดสินใจลาออกจากงานประจำ และริเริ่มพัฒนาเว็บไซด์สำเร็จรูปอย่างเต็มตัว โดยชูจุดแข็งเรื่องราคาที่เข้าถึงลูกค้าได้ง่าย และการใช้งานที่สามารถทำให้ลูกค้าสร้างเว็บไซต์เองได้ภายใน 5 นาที และนวัตกรรมที่ตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้า ทำให้เรดดี้แพลนเน็ตกลายเป็นผู้ให้บริการเว็บไซต์สำเร็จรูป (Website Provider) ที่ใหญ่ที่สุด หลังจากนั้น จึงขยายสู่บริการจัดอบรมให้ความรู้ด้านเว็บไซด์ (Training Web Marketing) และบริการโฆษณาออนไลน์ (Digital Advertising) ที่สอดรับกับการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และการตลาดดิจิทัลยุคโมบายในเมืองไทย
ชูทีม R&D สุดแกร่ง
ทรงยศ บอกอีกว่า จุดแข็งของแรดดี้แพลนเน็ตคือการที่มีทีม R & D เพื่อช่วยวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ ของตนเอง จนรูปแบบ Standard template ให้เลือกมากกว่า 100 แบบ มี Mobile Application สำเร็จรูปตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ธุรกิจยุคใหม่ รวมทั้งจัดทำ Business Strategy (2 P Model) ที่ช่วยให้ SME เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงการทำมาร์เก็ตติ้งผ่านแพลทฟอร์มโฆษณาออนไลน์ และโซเซียลมีเดียต่างๆ คิดค้นโปรแกรม GrandAdmin ที่เป็นระบบ CRM ช่วยบริหารจัดการฐานข้อมูลให้ลูกค้านำมาใช้วิเคราะห์ได้ในอนาคต
พร้อมกันนี้ยังมีแอพพลิเคชั่น AdPro Mobile ที่ดาวน์โหลดรายงานและตรวจสอบผลจากการลงทุนโฆษณาได้ด้วยตัวเองเพื่อให้สอดคล้องกับงบประมาณที่ลูกค้ามีอยู่ รวมถึงมี Call center 24 ชั่วโมง รองรับบริการหลังการขาย โดยที่ผ่านมาบริษัทได้รับความไว้วางใจให้เป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ Google , Facebook , Baidu และ Alibaba และเคยได้รับรางวัลทางด้าน customer satisfaction จาก Google
“จากวิสัยทัศน์ที่มองการณ์ไกล รวมถึงการพยายามพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอยู่เสมอ ทำให้บริษัทได้รับรางวัล Bai Po Business Awards by Sasin ครั้งที่ 12 ในมิติ การบริหารจัดการด้านสินค้าและบริการที่สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า (Customer-Focused Product and Service) มิติองค์กรที่มีการสร้างสรรค์นวัตกรรม (Innovative Enterprise) และมิติการสร้างธุรกิจด้วยพลังแห่งการเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurship)”
ตั้งเป้ารายได้โต 560 ล้านบาท
สำหรับในปีนี้นั้น ทรงยศ บอกว่า บริษัทตั้งเป้าจะมีรายได้เติบโตประมาณ 560 ล้านบาท หรือประมาณ 40% ของปีที่ผ่านมาซึ่งบริษัทมีรายได้อยู่ที่ 400 ล้านบาท โดยผ่านกลยุทธ์การออกผลิตภัณฑ์ในการให้บริการรูปแบบใหม่ที่เรียกว่าโมบายแอพพลิเคชั่นสำเร็จรูปแบบพร้อมใช้สำหรับธุรกิจขนาดกลางจนถึงขนาดย่อย หรือเอสเอ็มอี ไปจนถึงธุรกิจขนาดใหญ่ที่ต้องการสื่อสารกับลูกค้าหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจให้บริษัท
นอกจากนี้ บริษัทยังได้ร่วมลงทุนกับบริษัทแห่งหนึ่งที่ทำการตลาดออนไลน์เกี่ยวกับธุรกิจทางด้านโรงแรมโดยเฉพาะ เพื่อให้บริการซอฟแวร์การทำตลาดองค์รวมให้กับธุรกิจโรงแรม เช่น การจองห้องพัก การนำเสนอโปรโมชั่น และการชำระบิล เป็นต้น ซึ่งจะเป็นการขยายฐานลูกค้าของบริษัทให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น เนื่องจากเป็นฐานลูกค้าที่ค่อนข้างใหญ่ จากการที่ไทยเป็นประเทศแห่งการท่องเที่ยว และมีรายได้หลักมาจากภาคส่วนดังกล่าวจำนวนมาก นอกเหนือจากการส่งออก บริษัทจึงมองเห็นโอกาสในการเข้าไปทำตลาด
ทั้งนี้ มองว่าตลาดทางด้านโฆษณาออนไลน์ รวมถึงตลาดทางด้านอีคอมเมิร์ซ และตลาดการทำธุรกิจผ่านทางอินเตอร์เน็ตในรูปแบบอื่นมีการเติบโตขึ้น โดยธุรกิจปัจจุบันตระหนักดีว่า ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 ดังนั้นจึงมีความพายามใช้นวัตกรรมมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจของตัวเอง หรือเรียกว่าดิจิตอลทางด้านต่างๆ ซึ่งประเด็นดังกล่าวนี้จะช่วยส่งเสริมให้การบริการของบริการของบริษัทซึ่งเป็นดิจิตอลอยู่แล้วเป็นที่น่าสนใจเพิ่มขึ้น โดยมูลค่าตาดรวมทางด้านโฆษณาของไทยต่อปีอยู่ที่ประมาณ 1.2 แสนล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นตลาดออนไลน์ประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท หรือประมาณ10% แต่ในอนาคตมูลค่าตลาดออนไลน์จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการปัจจุบันธุรกิจหันมาเพิ่มงบโฆษณาทางด้านออนไลน์มากขึ้น จากประสิทธิภาพที่สามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างตรงจุด
ทรงยศ บอกอีกว่า บริษัทได้มีการขยายธุรกิจไปสู่ประเทศเมียนมาร์ โดยอยู่ในช่วงของการทดลองตลาด ซึ่งบริษัทจะไปให้บริการเว็บไซด์ และโฆษณาบนเฟสบุ๊กให้ธุรกิจในประเทศเมียนมาร์ โดยมีการจดทะเบียนเป็นบริษัทลูกเรียบร้อยแล้ว แต่เนื่องจากยังต้องรอการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภาในประเทศเมียนมาร์ให้สอดรับการให้บริการของบริษัทด้วย ซึ่งคาดว่าอีกประมาณ 2-3 ปีข้างหน้าจะสามารถเปิดให้บริการได้เต็มรูปแบบ และเชื่อว่าจะกลายเป็นรายได้ในระยะยาวให้กับบริษัทได้ เนื่องจากเมียนมาร์เป็นประเทศที่มีประชากรค่อนข้างมาก ซึ่งถือว่าเป็นตลาดที่ใหญ่หากมีการเปิดเสรีทางด้านโทรคมนาคมโทรศัพท์มือถือ โดยหากมีผู้ใช้บริการสมาร์ทโฟนเพียงแค่ประมาณ 20% ก็จะทำให้ธุรกิจการโฆษณาออนไลน์เติบโตได้
เล็งเข้า ตลท. เสริมศักยภาพ
นายทรงยศ กล่าวทิ้งท้ายไว้อย่างน่าสนใจว่า บริษัทมีแผนที่จะเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) โดยอยู่ในช่วงของการปรับปรุงระบบการบริหารจัดการในบริษัทให้กับหลักเกณฑ์ของ ตลท. ซึ่งคาดว่าน่าจะใช้ระยะเวลาอีก 2-3 ปี เนื่องจากมองว่าการเข้า ตลท. เร็วเกินไปอาจจะไม่เป็นผลดีเท่าใดนัก แต่จะต้องรอให้ธุรกิจทางด้านต่างๆ เติบโตไปจนถึงจุดที่บริษัทต้องการเม็ดเงินที่แท้จริงจาก ตลท. เข้ามาเพื่อช่วยในการขยายธุรกิจ โดยสถานะขอบริษัทในปัจจุบันถือว่าแข็งแกร่ง ไม่มีหนี้สิน และยังมีเงินสดเพียงพอในการตอบสนองแผนการขยายการลงทุนของบริษัท แต่การเข้าสู่ ตลท. ก็จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในการทำธุรกิจของบริษัทได้