I AM เตี๋ยวเรือ เสริฟ์ไอเดียคู่ความอร่อย
เมื่อสำเร็จการศึกษาคนส่วนใหญ่มักเลือกที่จะหางานประจำทำเพื่อประกอบอาชีพสร้างรายได้ สร้างอนาคตให้กับตนเอง แต่ไม่ใช่ความคิดของ ปุณณภา กาญจนหฤทัย สาวน้อยวัย 25 ปี
ที่เมื่อจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยหอการค้า คณะบริหารการตลาดแล้วจะเลือก ด้วยความที่เป็นคนมีความอดทนต่ำ และไม่คิดว่าจะสามารถรับมือกับคำสั่งงานที่จุกจิกจากหัวหน้างานได้ ส่งผลให้วันนี้ได้กลายมาเป็นเจ้าของกิจการร้านก๋วยเตี๋ยวเรือแนวใหม่แบรนด์ “I am เตี๋ยวเรือ”
สูตรเด็ดคุณแม่สู่ธุรกิจ
ปุณณภา เล่าให้ฟังว่า ตั้งแต่แรกเริ่มที่สำเร็จการศึกษาตนเองก็ไม่มีความคิดที่จะทำงานประจำเหมือนคนอื่นทั่วไป ประจวบเหมาะกับที่ได้รับประทานก๋วยเตี๋ยวเรือซึ่งคุณแม่ทำขึ้นเพื่อฉลองเทศกาลปีใหม่กับญาติๆ และรู้สึกว่าเป็นรสชาติที่อร่อยน่าจะสามารถนำสูตรมาใช้เพื่อประกอบธุรกิจได้ อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้เป็นการเข้าข้างฝีมือแม่ตนเองจนเกินไป จึงตระเวนรับประทานก๋วยเตี๋ยวเรือหลากหลายเจ้าเพื่อลิ้มลองรสชาติ จนได้คำตอบว่าสูตรที่แม่ทำให้รับประทานมีความแตกต่าง และน่าจะเป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภคเหมือนกันหากได้รับประทาน
ทั้งนี้ หลังจากที่ได้รับประทานก๋วยเตี๋ยวเรือสูตรคุณแม่ จนทำให้เกิดไอเดียในการ Startup ธุรกิจของตนเองแล้ว ปุณณภา ต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 3-4 เดือนในการดำเนินการทุกอย่างให้พร้อมก่อนที่จะเริ่มทำธุรกิจอย่างจริงจัง โดยมีพี่ชายอย่าง ธนกฤต เป็นผู้ร่วมทุน ซึ่งสาขาแรกที่เปิดให้บริการคือสาขาแฮบปี้แลนด์ โดยในช่วงเริ่มต้นใช้ชื่อร้านว่า “ลวกถ้วย” แต่มีการปรับเปลี่ยนมาเป็น “I am เตี๋ยวเรือ” เพื่อให้สามารถสื่อสารถึงผู้บริโภคได้อย่างตรงจุดว่านี่คือร้านก๋วยเตี๋ยวเรือ และใช้ชื่อดังกล่าวนี้มาจนถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรกที่เปิดร้านก็ยังไม่ได้รับการตอบรับที่ดีเท่าใดนักจากผู้บริโภค เพราะร้านก๋วยเตี๋ยวเรือก็มีเปิดให้บริการอยู่ทั่วไป ผู้บริโภคจึงอาจมองว่าที่ร้านก็คงไม่มีอะไรแตกต่าง ดังนั้น จึงคิดหาแนวทางที่จะทำให้ผู้บริโภคได้มีโอกาสเข้ามาลิ้มลองรสชาติของที่ร้านให้ได้ก่อนเป็นลำดับแรก เพราะมั่นใจในรสชาติว่าเด็ดจริง จนมาได้บทสรุปที่ลงตัวด้วยการเสิรฟ์แนวใหม่ที่จัดการแยกเส้น แยกน้ำซุป แยกผักลวก โดยเสิร์ฟมาเป็นเซ็ทแบบชามยักษ์ ซึ่งชุดเล็กราคาจะอยู่ที่ 199 บาท สามารถรับประทานได้ 3-4 คน และชุดใหญ่ในราคา 299 บาท รับประมาณได้ 5-7 คน จากเดิมที่มีขายแค่เป็นชามแบบธรรมดา และแบบพิเศษเหมือนร้านทั่วไป
“แม้จะมีการปรับเปลี่ยนวิธีเสิร์ฟแต่ก็ได้ผลดีแค่ในระดับหนึ่ง เพราะอาจจะยังไม่เป็นที่รับรู้ของผู้บริโภคทั่วไป แต่โชคดีที่มีนักชิมจากเว็บไซด์ชื่อดังมีโอกาสมารับประทานก๋วยเตี๋ยวที่ร้าน และเห็นถึงวิธีการเสิร์ฟที่แปลกแหวกแนวกว่าร้านอื่น ได้นำไปโพสบนเว็บไซด์จนทำให้มีผู้ที่ได้เห็นมากขึ้น และติดตามมาชิมที่ร้านจน I am เตี๋ยวเรือ กลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น ที่สำคัญยังทำให้รายได้เพิ่มมากขึ้นจากหลักพันเป็นหลักหมื่นจนถึงหลักแสนบาทต่อเดือน”
ใส่ใจทุกรายละเอียด
ปุณณภา กล่าวต่อไปอีกว่า นอกจากการเสริฟ์แบบเป็นเซ็ทชามยักษ์ที่กลายมาเป็นจุดเด่นของทางร้านแล้ว การคัดสรรวัตถุดิบต่างๆไม่ว่าจะเป็นเลือดหมูที่ใช้ ซึ่งจะต้องมีการไปเลือกซื้อโดยตรงจากโรงงาน เพื่อให้ได้เลือดหมูที่เข้มข้นพอดีสำหรับเติมน้ำซุป โดยต้องไม่ใสและไม่เข้มข้นจนเกินไป ขณะที่ในส่วนของเครื่องปรุงอย่างพริกก็จะต้องเป็นพริกที่คั่วเอง ไม่ซื้อจากตลาดทั่วไป เช่นเดียวกับพริกน้ำส้มที่จะต้องผสมเองเป็นสูตรจากทางร้าน ด้านน้ำซุปก็จะต้องมีเครื่องปั่นผสมเครื่องเทศให้หอมตามที่ต้องการ
ส่วนเมนูอาหารของที่ร้านก็จะมีให้เลือกอย่างหลากหลาย แต่ยังคงมุ่งเน้นความเป็นก๋วยเตี๋ยวเรือ ทั้งหมูตุ๋น เล้ง (กระดูกหมูต้มจนเปื่อย) เป็นต้น ไม่ใช่มีเพียงแค่หมูสด ลูกชิ้น หรือเครื่องในตามปกติ เรียกว่า I am เตี๋ยวเรือ มีเมนูให้เลือกสรรมากกว่าที่อื่น อย่างไรก็ดี สิ่งที่สำคัญมากกว่าเรื่องอื่นก็คือ เรื่องของรสชาติที่ทางร้านจะใส่ใจมากเป็นพิเศษ เพื่อรักษามาตรฐานความอร่อย ดังนั้น เราจึงยังไม่เลือกที่จะขยายธุรกิจในรูปแบบของแฟรนไชน์ในเวลานี้ แม้ว่าจะมีผู้ที่สนใจติดต่อเข้ามามากกว่า 20-30 รายต่อเดือนก็ตาม เพราะเกรงว่าจะควบคุมคุณภาพของรสชาติเหมือนร้านต้นฉบับที่ดูแลเองไม่ได้
“เพื่อให้เกิดความหลากหลายต่อการรับประทาน เรายังมีแผนที่จะคิดเมนูใหม่ออกมาในทุก 3 เดือน เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคได้มากขึ้น โดยล่าสุดได้มีการคิดวิธีการเสิร์ฟแบบใหม่ในรูปแบบหม้อไฟ เพื่อลดจุดอ่อนการเสริฟ์แบบเป็นเซ็ทชามยักษ์ธรรมดา ซึ่งลูกค้าจะมีปัญหาเรื่องของน้ำซุปที่อาจจะไม่ร้อนเวลารับประทาน เนื่องจากมีปริมาณที่มากต้องใช้ระยะเวลาในการรับประทานกว่าจะหมด”
เล็งตั้งบริษัทขยายสาขา
ปุณณภา บอกว่า ปัจจุบัน I am เตี๋ยวเรือได้ขยายสาขาเพิ่มอีก 1 สาขาที่อุดมสุขเมื่อต้นปี 2560 ที่ผ่านมา และมีแผนที่จะขยายเพิ่มให้เป็น 5 สาขาภายในปีนี้ โดยจะปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ไปสู่การเปิดร้านที่ตลาดกลางคืน เนื่องจากมองว่าเป็นกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย สามารถลดข้อจำกัดในเรื่องของเงื่อนเวลาสำหรับคนทำงานได้ และที่สำคัญยังมีเวลาในการเปิดขายที่ไม่ต้องยาวนานมากนัก ทำให้มีเวลาที่จะเข้าไปดูแลได้ด้วยตนเอง โดยเบื้องต้นมองไว้ที่ตลาดนัดกลางคืนแห่งหนึ่งในย่านธนบุรี ซึ่งมีลูกค้าเรียกร้องเข้ามาเป็นจำนวนมาก
“ที่เราตั้งเป้าในการขยายสาขาไว้ที่จำนวนดังกล่าวก็เพราะเรายังต้องการให้เป็นธุรกิจที่ดูแลกันเองโดยครอบครัวก่อน ซึ่งตามกำลังแล้วก็น่าจะสามารถทำได้ หลังจากนั้นในปี 2561 มองว่าน่าจะมีการจัดตั้งบริษัทขึ้นมา เพื่อทำธุรกิจเกี่ยวกับก๋วยเตี๋ยวเรือ และจะเปิดรับแฟรนไชน์สำหรับผู้ที่สนใจเข้ามาร่วมทำธุรกิจ โดยตั้งเป้าจะขยายให้ได้ทุกจังหวัดในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนของการศึกษา และหาแนวทางที่ลงตัวมากที่สุด”
อย่างไรก็ดี ปุณณภา มีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่คือการนำบริษัทเข้าสู่การระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) โดยเชื่อมั่นว่าด้วยรูปแบบของธุรกิจที่ดำเนินไปตามลำดับอย่างมั่นคงแบบที่วางแผนเอาไว้ จะทำให้บริษัทมีรายได้จนถึงหลัก 100 ล้านบาท และสามารถที่จะเข้าสู่ ตลท. ได้ เพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบของธุรกิจ และมีเงินทุนในการขยายธุรกิจเพิ่มเติม โดยหวังว่าจะนำก๋วยเตี๋ยวเรือไปทำตลาดที่ต่างประเทศได้ ซึ่งอาจจะต้องประยุกต์สูตรให้เข้ากับประเทศที่จะไป