ไบโอเวกกี้ ผักอัดเม็ดเพื่อคนรักสุขภาพ
ของสิ่งเดียวกันแต่คนเราก็มีมุมมองที่แตกต่างกัน เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ไบโอเวกกี้ (Bioveggie)
ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มจากของที่ไม่มีใครเห็นคุณค่าจนกลายเป็นสินค้าเพื่อสุขภาพ ที่สร้างรายได้จนกายเป็นธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตได้อย่างมั่นคง
จากผักสดสู่นวัตกรรมการอัดเม็ด
วิริยา พรทวีวัฒน์ กรรมการผู้จัดการบริษัท เชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จำกัด เล่าถึงจุดเริ่มต้นของธุรกิจว่ามาจากการเล็งเห็นว่าสินค้าในภาคเกษตรเกิดภาวะล้นตลาด โดยที่สินค้าล้นเกินเหล่านั้นจะถูกทำลายทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ จึงมองหาวิธีที่จะสร้างมูลค่าเพิ่ม และทำให้ระยะเวลาในการเก็บรักษายาวนานขึ้น เมื่อแนวความคิดเกิดการตกผลึกจึงได้ร่วมมือกับโครงการหลวง เพื่อนำผักสดของโครงการหลวง 12 ชนิด ประกอบไปด้วย บีทรูท (Beet root) ,ป๋วยเล้ง (Spinach) ,มะเขือเทศเชอรี่ (Cherry Tomato) ,บร็อคโคลีนี (Broccolini) ,ผักชีล้อม (Fennel) ,ฟักทองญี่ปุ่น (Japanese Pumpkin) ,เซเลอรี่ (Celery) ,แครอท (Carrot) ,กะหล่ำปลีแดง (Red Cabbage) ,พริกหวาน (Sweet peper) ,พาร์สเลย์ (Parsley) และหอมญี่ปุ่น (Japanese Bunching Onion) มาอัดเม็ด โดยผ่านนวัตกรรมที่สามารถเก็บคุณค่าของสารอาหารได้ใกล้เคียงกับผักสด 80-90% แล้วแต่ชนิดของผัก
“ เครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆ ในโรงงานเกิดจากคิดค้น และทดลองทำเป็นต้นแบบโดยวิศวกรชาวไทยทั้งหมด โดยเริ่มต้นในโรงรถเล็กๆ จนเป็นเครื่องจักรที่สามารถทำผลิตภัณฑ์ผักอัดเม็ดได้ โดยมุ่งหวังให้ผู้บริโภคได้สารอาหารที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด ซึ่งจะเห็นได้ว่ากลุ่มผักที่นำมาอัดเม็ดทั้งหมดจะเป็นกลุ่มของผัก 5 สี ทั้งนี้ ผักอัดเม็ดไบโอเวกกี้ได้รับรางวัลนวัตกรรมอันดับ 1 ของประเทศ ประเภทธุรกิจเชิงนวัตกรรมปี 2555 ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ในด้านผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ”
ชูจุดเด่นความเป็นธรรมชาติ
สำหรับกลุ่มเป้าหมายหลักของ ไบโอเวกกี้ จะมีตั้งแต่กลุ่มเด็กไปจนถึงกลุ่มวัยทำงาน หรือกลุ่มผู้สูงอายุที่ต้องการเติมเต็มสารอาหารจากผัก จากการรับประทานอาหารตามปกติ ที่สำคัญยังช่วยทำให้เด็กที่ไม่ชอบรับประทานผักได้รับคุณประโยชน์จากผักได้โดยง่าย โดยช่องทางในการทำตลาดจะมีการประชาสัมพันธ์ผ่านทางโซเชี่ยลเนตเวิร์ก ไม่ว่าจะเป็นเฟสบุ๊ก (Facebook) หรือยุทธวิธีที่เรียกว่าเป็นการแพร่กระจายทางโลกออนไลน์ (Viral digital marketing) เป็นหลัก
ด้านจุดเด่นของ ไบโอเวกกี้ อยู่ที่ขั้นตอนในการผลิตที่ให้ความสำคัญกับคงคุณค่าความเป็นธรรมชาติ โดยไม่ใช้สารสกัดมาเป็นตัวช่วย ซึ่งวัตถุดิบทั้งหมดเป็นการนำผักสดจริงมาผ่านขั้นตอนการอบแห้งก่อนที่จะนำมาอัดเป็นเม็ดเพื่อจำหน่ายให้กับผู้บริโภค เพราะฉะนั้นผู้บริโภคจะได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนเสมือนได้รับประทานผักสดที่แท้จริง
“ ผักอัดเม็ดไบโอเวกกี้สามารถเก็บได้นานถึง 2 ปี โดยในจำนวน 5 เม็ด เทียบเท่ากับการทานผักสดปริมาณ 1 ชาม หรือประมาณ 150 กรัม ซึ่งองค์การอนามัยโลกกำหนดให้คนคนหนึ่งทานผักได้ 400 กรัม/วัน เพราะฉะนั้น ผู้บริโภคจึงสามารถทานไบโอเวกกี้ได้เลยทั้ง 3 มื้อ โดยสามารถช่วยขจัดความกังวลของผู้บริโภคได้ในรูปแบบของผักสด ซึ่งส่วนใหญ่จะกังวลเรื่องของสารตกค้างที่อยู่ในผัก แต่การทานผักอัดเม็ดจะช่วยลดความเสี่ยงในเรื่องดังกล่าว และเพิ่มความสะดวกสบายได้มากยิ่งขึ้น ”
การแพร่กระจายทางโลกออนไลน์บอกถึงคุณประโยชน์ในการรับประทานผักอัดเม็ดไบโอเวกกี้ด้วยว่า อันดับแรก คือ ช่วยทำให้ระบบขับถ่ายมีความสมดุล สารอาหารต่างๆ ที่มีอยู่ เช่น วิตามินต่างๆ ที่อยู่ในผักก็จะได้รับอย่างครบถ้วน อีกทั้งยังได้สารต้านอนุมูลอิสระในเรื่องของเบต้าแคโรทีน ซีแซนทีนช่วยในเรื่องของสายตา ผิวพรรณ ระบบสมอง แต่การรับประทานต้องทำอย่างต่อเนื่องเหมือนกับวิตามิน โดยหากเลือกทานวิตามินที่มาจากธรรมชาติจะปลอดภัยกว่าวิตามินที่มาจากสารสกัด เนื่องจากในสารสกัดจะมีเคมีเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
เล็งเจาะตลาดผู้สูงอายุ
สำหรับแผนทางด้านการตลาดในระยะถัดไปนั้น จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ออกสู่ตลาด เพื่อตอบโจทย์ของกลุ่มผู้สูงอายุ โดยยังคงมุ่งเน้นการเป็นผลิตภัณฑ์ที่ให้สารอาหาร รับประทานแล้วเกิดประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งจะเป็นลักษณะของอาหารพร้อมบริโภคด้วยวิธีการเติมน้ำร้อน หรือชงในน้ำอุ่น เนื่องจากเรามองว่าสังคมผู้สูงอายุกำลังขยายตัวมากยิ่งขึ้นในประเทศไทย ดังนั้น จึงเห็นว่าน่าจะมีผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองความต้องการดังกล่าวนี้ได้ เพื่อเป็นการขยายตลาด และเพิ่มช่องทางในการสร้างรายได้ให้มากยิ่งขึ้น
“ เราเป็นธุรกิจขนาดเล็กที่ยังไม่ใหญ่มาก เพราะฉะนั้นสายป่านจึงถือว่าค่อนข้างสั้น แต่หลังจากที่ได้รับการสนับสนุนจากธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือเอสเอ็มอีแบงก์ (ธพว.) ทางด้านสินเชื่อ ทำให้มีโอกาสในการต่อยอดธุรกิจ และขยายการลงทุนในส่วนของเครื่องจักรอุปกรณ์ได้ ”
ปูพรหมบุกตลาดต่างประเทศ
วิริยา ยังได้กล่าวถึงแผนงาน และเป้าหมายที่วางเอาไว้ในอนาคตต่อไปอีกว่า จะดำเนินการพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง โดยร่วมมือกับภาครัฐในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยมองว่าธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพยังสามารถเติบโตได้อีกมาก ซึ่งจะเห็นได้จากแนวโน้มของการรักษาสุขภาพที่มีมากขึ้น อีกทั้งผู้สูงอายุในสังคมไทยก็จะเพิ่มมากขึ้นในทุกปี เพราะฉะนั้น จึงยังเป็นธุรกิจที่น่าสนใจ
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันไบโอเวกกี้ได้ขยายตลาดไปสู่ประเทศในแถบยุโรป อย่างประเทศโปแลนด์ รวมถึงประเทศญี่ปุ่น และประเทศเพื่อนบ้านไม่ว่าจะเป็นประเทศกัมพูชา และเมียนมาร์ โดยขณะนี้ก็อยู่ระหว่างการศึกษาตลาดในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ซึ่งคาดว่าน่าจะนำสินค้าไปจำหน่ายได้ภายในปีนี้ นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะขยายธุรกิจไปยังกลุ่มประเทศในประชาคมเศรษฐกิจอาเชียน หรือเออีซี (AEC) เช่น อินโดนีเซีย ,สิงคโปร์ และมาเลเซีย เป็นลำดับถัดไป
“ สินค้าไบโอเวกกี้ที่ถูกไปจำหน่ายในต่างประเทศนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะของการที่ลูกค้ามาติดต่อขอไปจำหน่ายโดยตรง มีเพียงในเมียนมาร์เท่านั้นที่ดำเนินการผ่านเทรดเดอร์ (Trader) ”.