เห็ดออร์แกนิกแปรรูปเงินล้าน

พลาดไม่ได้หมายความว่าล้มเหลวแต่สามารถนำมาเป็นพลังในการผลักดัน หรือปรับปรุงเปลี่ยนแปลงธุรกิจไปยังรูปแบบอื่นได้เป็นอย่างดี
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ วิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลิตภัณฑ์อาหารตำบลสระพัฒนา ที่เคยผิดพลาดแต่ก็สามารถรุกและยืนได้อย่างสง่างามในปัจจุบัน
ในความมืดมิดยังมีแสงสว่าง
กมลวัน จันทร์พยอม รองประธานวิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลิตภัณฑ์อาหารตำบลสระพัฒนา ผู้ผลิตและจำหน่ายเห็นแปรรูปภายใต้ชื่อ“HAPPYLIFE FARM” เล่าให้ฟังว่า ก่อนที่จะมาทำฟาร์มเห็ดจนประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ แรกเริ่มเดิมทีพื้นที่ของฟาร์มซึ่งเป็นของคุณธณัส รัตนแสงศรี ประธานวิสาหกิจฯ เคยเป็นที่เลี้ยงปลา เลี้ยงกบมาก่อน แต่ด้วยการไม่มีความรู้เฉพาะทางในการดูแล อีกทั้งยังต้องทำงานประจำไปด้วยทำให้ธุรกิจไม่สามารถไปต่อได้ แต่ด้วยพื้นที่ซึ่งเป็นบ่อปูนอยู่แล้ว จึงเกิดไอเดียในการประยุกต์ต่อยอดมาสู่การทำฟาร์มเห็ด
“ในความคิดของคุณธณัสมองว่าเมืองไทยเป็นเมืองเกษตรกรปลูกอะไรก็ขึ้นแต่มีปัญหาเรื่องของการทำตลาด อีกทั้งคุณธณัสเองก็มีเวลาน้อย จึงชวนตนให้เข้ามาช่วยในการแปรรูปเห็ดเพื่อจำหน่าย เนื่องจากด้วยความที่เป็นเห็ดหากจะขายในรูปของเห็ดสดจะทำให้ควบคุมลำบาก ดังนั้น จึงนึกถึงวิธีการแปรรูปเป็นคำตอบสุดท้าย”
อย่างไรก็ดี ใช่ว่าเมื่อเกิดความคิดแล้วทุกอย่างจะราบรื่นไปทั้งหมดกว่าที่จะแปรรูปเห็ดออกมาได้เป็นผลิตภัณฑ์อย่างที่เห็นในปัจจุบัน ต้องหาสูตรในการทำและมีการลองผิดลองถูกอยู่นานกว่าจะออกมาเป็นรูปเป็นร่างได้ โดยผลิตภัณฑ์แรกของฟาร์มคือ เห็ดทอด ซึ่งทดลองนำไปวางจำหน่ายที่เลมอนฟาร์ม ฟู๊ดแลนด์ ร้านอาหารเพื่อสุขภาพบางร้าน เช่น ร้านพลังบุญ จากวันนั้นจนถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 13 ปี ตั้งแต่เริ่มต้นผลิตภัณฑ์ของเราก็ยังวางจำหน่ายอยู่
สำหรับผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ HAPPYLIFE FARM ในปัจจุบัน ประกอบไปด้วย เห็ดทอด 2 รสชาติ ได้แก่ เห็ดสวรรค์ และเห็ดปรุงรสสมุนไพร, ข้าวเกรียบเห็ดโคนญี่ปุ่น 3 รสชาติ ได้แก่ รสออริจินอลหรือดั้งเดิม ,รสบาร์บีคิว และรสสาหร่ายวาซาบิ โดยมีจุดเด่นอยู่ที่การมีเห็ดเป็นส่วนประกอบประมาณ 70% ของข้าวเกรียบ ซึ่งทำให้แตกต่างจากคู่แข่ง
นอกจากนี้ ยังมีน้ำเห็ดหลินจือ 3 รสชาติ ได้แก่ รสน้ำผึ้ง, รสน้ำผึ้ง (ไม่เติมน้ำตาล) โดยเหตุผลที่เลือกใช้น้ำผึ้งมาเป็นส่วนผสมนั้น เพราะมีคุณสมบัติที่เรียกว่าเข้ากษัยกัน ทำให้ผู้ที่ดื่มรู้สึกได้ถึงผลลัพธ์ที่ดีต่อร่างกาย และรสเก๊กฮวย อีกทั้งยังมีน้ำพริกเห็ดสามอย่าง และแหนมเห็ดซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ล่าสุด

ชูจุดเด่นความเป็นธรรมชาติ
จุดเด่นของ HAPPYLIFE FARM อยู่ที่ความเป็นธรรมชาติในทุกขั้นตอนของการผลิต ไม่ว่าจะเป็นการเพาะเลี้ยงเห็ดแบบออร์แกนิก ซึ่งจะใช้ขี้เรื่อยจากยางพาราที่มีใบรับรองการวิเคราะห์ว่าไม่อาบน้ำยา และมีการควบคุมโดยกรมวิชาการเกษตร ขณะที่ในส่วนของน้ำที่ใช้จะเป็นน้ำประปา เพราะเป็นน้ำที่ผ่านการกรองตามหลักของเกษตรอินทรีย์ โดยเป็นความโชคดีที่ฟาร์มตั้งอยู่ใกล้แหล่งผลิตน้ำประปา ด้านของโรงเรือนปัจจุบันมีอยู่ 12 โรงเรือน เป็นโรงเรือนแบบปิดมิดชิด และควบคุมโดยกระทรวงสาธารณะสุข
ส่วนกระบวนการในการแปรรูปนั้นทุกอย่างเป็นแบบธรรมชาติทั้งหมด โดยไม่มีการใส่ผงชูรส ไม่ผสมโซเดียมและไม่มีสารกันเสีย อีกทั้งยังได้รับการมาตรฐานจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งองค์การอาหารและยา (อย.) มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) และมาตรฐาน GMP เป็นต้น
ผลิตภัณฑ์ของ HAPPYLIFE FARM ยังไม่ได้มีวางจำหน่ายตามร้านทั่วในท้องตลาด โดยจุดจำหน่ายหลักอยู่ที่ Organic farm outletในกรมการค้าภายในของกระทรวงพาณิชย์ และกำลังจะขยาย Organic farm outlet ดังกล่าวยังจุดต่างๆ เพิ่มเติมให้มากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีวางจำหน่ายที่เลมอนฟาร์ม ร้านพลังบุญ และร้านสบายใจ รวมถึงร้านค้ารายย่อยทั่วไปที่รับไปจำหน่าย
ยึดแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
กมลวัน เล่าให้ฟังถึงกลยุทธ์ทางการตลาดอย่างเจียมตัวว่า ความที่บุคลากรในการทำตลาดไม่ค่อยเชี่ยวชาญ ดังนั้น กลยุทธ์ที่ใช้จึงเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยอาศัยความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ในการออกร้านตามงานกิจกรรม (Event) และใช้ช่องทางออนไลน์ในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้า ส่วนการดำเนินการเพื่อให้ได้จำหน่ายตามร้านทั่วไปนั้น เป็นเป้าหมายที่มองเอาไว้ แต่เราจะต้องมีการปรับเรื่องของบรรจุภัณฑ์ (Packaging) เพื่อให้โดนตาโดนใจลูกค้าได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย

ด้านรายได้ในปัจจุบันถือว่าทำได้ค่อนข้างดีประมาณปีละเกือบ 10 ล้านบาท โดยเป้าหมายในระยะต่อไปเรายังคงเดินตามนโยบายเดิมที่วางไว้ในรูปแบบของความพอเพียง ไม่ขยายตัวแบบรวดเร็วจนเกินกำลัง พยายามรักษาฐานลูกค้าเดิม ควบคุมคุณภาพทั้งในเรื่องของรสชาติ และกระบวนการผลิต เรามั่นใจในสินค้าที่สามารถไปต่อได้อีกมาก นอกจากนี้ จากการที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการประชารัฐ ซึ่งรัฐบาลจะเข้าช่วยในการขับเคลื่อน และคำแนะนำในเรื่องของช่องทางการทำตลาด เชื่อว่าจะทำให้กลุ่มลูกค้าขยายไปได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดเรายังได้ขยายช่องทางการจำหน่ายไปสู่ประเทศจีนในส่วนของผลิตภัณฑ์ข้าวเกรียบเห็ดโคลนญี่ปุ่น และกำลังร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ในการเจรจาเชื่อมโยงการค้าให้กับประเทศในแถบเชีย เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี ซึ่งมีความชื่นชอบการรับประทานอาหารประเภทสแนค (Snack) โดยเป็นเป้าหมายระยะกลางที่จะดำเนินการ ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้รายได้ต่อปีเข้าใกล้ 20 ล้านบาทได้อย่างไม่ยากเย็น
“แนวโน้มการบริโภคเห็ดเป็นอาหาร หรือของรับประทานเล่นดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นข้อมูลเรื่องของการใส่ใจทางด้านสุขภาพที่ทำให้ผู้บริโภคหันมาสนใจดูแลตัวเองมากขึ้น อีกทั้งเห็ดยังเป็นผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบอยู่แล้วของกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการโปรตีนทดแทนจากการบริโภคเนื้อสัตว์ นอกจากนี้ เห็ดยังมีหลากหลายสายพันธุ์ให้ได้เลือกสรรที่มาพร้อมคุณประโยชน์ต่อร่างกาย เรามั่นใจในเรื่องของรสชาติ และคุณภาพที่ได้มาตรฐาน เพราะฉะนั้น เชื่อว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคในวงกว้าง”