เครื่องดื่มโซดานาโนซ่า

กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียวหรือกำแพงเมืองจีนไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียวคงเป็นข้อความที่ใช้ได้ดีกับทุกธุรกิจ
เพราะความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่และยั่งยืนย่อมต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ เรื่องราวของ นพ.จิราวัตน์ จันชะนะกิจ กรรมการผู้จัดการบริษัท อินเนอร์จี้ จำกัด เจ้าของธุรกิจเครื่องดื่มวิตามินซ่าโซดานาโนภายใต้ชื่อ “INNERGY” คงเป็นเครื่องยืนยันได้ดี
เริ่มจากวิกฤติสู่โอกาส
นพ.จิราวัฒน์ เล่าถึงจุดเริ่มต้นของธุรกิจให้ฟังว่ามาจากลูกชายทั้ง 3 คนและตนเองที่มีความชื่นชอบในการดื่มน้ำอัดลม ทั้งที่รู้ว่าเมื่อดื่มในปริมาณมากจะได้รับผลกระทบต่อร่างกายอย่างไรบ้าง แต่หากจะใช้วิธีการห้ามไม่ให้ลูกดื่มเลยก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น จึงเริ่มมีแนวคิดจากวิกฤติพลิกให้เป็นโอกาสด้วยความรู้ที่มี เพื่อสรรสร้างเครื่องดื่มที่ยังคงข้อดีของน้ำอัดลมในเรื่องของความสดชื่นเอาไว้ แต่เติมประโยชน์จากวิตามินและสารอาหารที่สกัดได้จากข้าวหอมมะลิออแกนิกเข้าไปทดแทนกรดฟอสฟอริก (Phosphoric acid) และคาเฟอีน (Caffeine) ที่มีโทษต่อร่างกาย
“จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ดังกล่าวมาจนถึงปัจจุบันที่สามารถนำเครื่องดื่ม INNERGY ออกขายได้ต้องใช้เวลาในคิดค้นและทดลอง ทั้งขั้นตอนของการวิจัย การสร้างเครื่องจักรเพื่อผลิตซึ่งต้องออกแบบเอง การทดลองการทำตลาดแบบโดยตรงกับผู้บริโภคเพื่อนำมาปรับจูนรสชาติ ขั้นตอนต่างๆเหล่านี้ต้องใช้ระยะเวลาถึง 10 ปี เนื่องจากทุกอย่างเริ่มต้นจากศูนย์และเราคิดค้นสูตรเฉพาะขึ้นมาใหม่ทั้งหมดในทุกขั้นตอน โดยใช้เงินลงทุนไปมากกว่า 30 ล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมกับค่าที่ดินและโรงงาน”
ชูอนุภาคนาโนช่วยดูดซึมสารอาหาร

นิยามของ INNERGY คือ เครื่องดื่มวิตามินซ่าโซดานาโน ดังนั้น จุดเด่นที่สำคัญจึงอยู่ที่ขั้นตอนการผลิตโซดาอนุภาคนาโน ซึ่งต้องนำน้ำมาผ่านกระบวนการคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เพื่อให้เกิดเป็นโซดาที่มีอนุภาคขนาดเล็ก ซึ่งมีประสิทธิภาพในการทำให้วิตามินและสารอาหารสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดี ที่สำคัญอนุภาคนาโนดังกล่าวยังช่วยให้ผู้บริโภคที่ดื่มน้ำอัดลมหรือโซดาไม่ได้สามารถดื่ม INNERGY ได้ ด้วยคุณสมบัติของอนุภาคขนาดเล็กของนาโนที่เป็นจุดเด่น
นอกจากนี้ยังมีในส่วนของรสชาติที่มีให้เลือกถึง 6 รสชาติ ได้แก่ เฟิร์มมิ่ง มิกซ์ฟรุต, บิวตี้ออเรนจ์, เวอร์จิ้น เลมอน, แฮบปี้โคล่า, สวีทฮาร์ทโคล่า และโบนนี่ โยเกิร์ต ซึ่งเชื่อว่าต้องมี 1 รสชาติที่ถูกใจผู้บริโภคใน 1 ราย รวมถึงการให้ความสดชื่นต่อร่างกาย โดยผู้บริโภคดื่มแล้วจะได้รับประสบการณ์ที่แปลกใหม่จากการหายเหนื่อย หายง่วง หายเพลีย ซึ่งไม่สามารถหาได้จากเครื่องดื่มอื่น ถึงแม้ว่าจะเป็นกลุ่มของเครื่องดื่มชูกำลังเองก็ตาม ขณะที่ส่วนผสมในการให้ความหวานจะเลือกใช้น้ำตาลฟรุ๊กโตส (Fructose) ซึ่งมีข้อดีคือเมื่อดูดซึมแล้วร่างกายสามารถนำมาใช้สร้างเป็นพลังงานได้เลย
“ส่วนผสมทุกอย่างเราเป็นผู้ที่คิดค้นขึ้นมาเองทั้งหมด ไม่มีสูตรจากไหนเพราะว่าสิ่งที่เราทำไม่เคยมีมาก่อนในโลก เพราะฉะนั้นการที่เราจะสร้างเครื่องดื่ม INNERGY ขึ้นมาได้จึงต้องใช้เวลานาน เพื่อให้เป็นเครื่องดื่มที่ทานแล้วให้โซดาเป็นอนุภาพนาโน และเราใช้สารสกัดจากข้าวที่ทานแล้วเราจะรู้สึกได้เลยว่า สดชื่อ หายง่วง หายเหนื่อย หายเพลีย ซึ่งตรงนี้จะมีความแตกต่างจากคาเฟอีนที่ให้ความรู้สึกไม่ง่วงแต่สมองยังตื้ออยู่ แต่ความสดชื่นด้วยวิตามิน และสารอาหารจากข้าวจะทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า”
เจาะกลุ่มเป้าหมายไลฟ์สไตล์ไม่หยุดนิ่ง
สำหรับกลุ่มลุกค้าเป้าหมายของ INNERGY คือกลุ่มที่มีอายุ 15-30 ปี ซึ่งมีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตแบบไม่ชอบหยุดนิ่งอยู่กับที่ โดยกระแสตอบรับถือว่าดีอย่างมาก เห็นได้จากการเข้าไปจัดกิจกรรมเปิดบูธพบกับผู้บริโภคในงานที่เกี่ยวกับเกมส์ออนไลน์ และมีการประกวดแต่งกายแบบคอสเพลย์เครื่องดื่ม INNERGY สามารถจำหน่ายได้ 1,200-1,500 ขวดต่อวัน ในขณะที่มีเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่ไปแจกให้ดื่มฟรีภายในงาน
ส่วนกลยุทธ์การทำตลาดที่ใช้อยู่ในปัจจุบันจะมุ่งเน้นไปในส่วนของช่องทางออนไลน์ โดยมีผู้ที่เข้ามาติดตามเกือบ 3 หมื่นคน รวมถึงการจัดกิจจกรมเพื่อสร้างประสบการณ์พิเศษให้กับผู้บริโภคโดยตรง และการประชาสัมพันธ์ผ่านทางรายการโทรทัศน์ และวิทยุที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับนวัตกรรม เพื่อให้ผู้บริโภครับรู้ว่า INNERGY คือผลิตภัณฑ์ใหม่ที่แตกต่างจากที่ในตลาดเคยมีมา

พร้อมขยายธุรกิจรองรับตลาดที่ใหญ่ขึ้น
นพ.จิราวัฒน์ กล่าวถึงเป้าหมายในอนาคตอย่างน่าสนใจว่า ปัจจุบันเรามีโรงงานที่สามารถผลิตเครื่องดื่ม INNERGY ได้ประมาณวันละ 2 หมื่นขวดต่อวัน หรือ 5 แสนขวดต่อเดือนซึ่งเพียงพอต่อการตอบรับของผู้บริโภคในระยะแรก เพราะเราต้องการขยายธุรกิจแบบค่อยเป็นไปค่อยไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จากการที่บริษัทกำลังเจรจาธุรกิจกับคอนวิเนี่ยสโตร์ และปั๊มน้ำมันรายใหญ่ของประเทศเพื่อนำสินค้าเข้าไปวางจำหน่ายในคอนวิเนี่ยสโตร์ และภายในปั๊ม ซึ่งคาดว่าน่าบรรลุข้อตกลงและสามารถนำ INNERGY เข้าไปวางจำหน่ายได้ภายในปีนี้นั้น บริษัทเองก็มีความพร้อมในเรื่องของที่ดิน เพื่อสร้างโรงงานในการขยายกำลังการผลิตไว้เรียบร้อยแล้ว
นอกจากนี้ ด้วยความที่ระบบการลงทุนของบริษัทตั้งแต่เริ่มต้นเป็นไปในรูปของเงินสดไม่ได้มีหนี้สินแต่อย่างใด และมีความพร้อมในเรื่องของเงินลงทุน ทำให้บริษัทสามารถที่จะลงทุนได้อย่างรวดเร็วเพื่อรองรับปริมาณความต้องการที่จะเพิ่มขึ้น
ด้านเป้ารายได้ที่บริษัทวางเอาไว้สำหรับ INNERGY นั้น เชื่อว่าจะมีศักยภาพในการเติบโตได้เดือนละกว่า 5 ล้านบาท โดยหากมองตามมูลค่าตลาดของเครื่องดื่มโดยรวมที่ประมาณ 1 แสนล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นตลาดที่ใหญ่มาก หากบริษัทสามารถชิงส่วนแบ่งทางการตลาดได้เพียงแค่ 1-2% ก็จะทำให้บริษัทมีรายได้ประมาณ 1-2 ร้อยล้านบาทต่อปี ซึ่งน่าจะเพียงพอต่อความต้องการในเชิงธุรกิจและทางด้านของการเติบโต
“แนวโน้มของการดื่มเครื่องดื่มประเภทนี้นั้น เรามองว่าเครื่องดื่มของเรามีประโยชน์ต่อสุขภาพเพียงพอ ลูกค้าที่ทานแล้วจะประทับใจ ขณะที่ในส่วนของรสชาติอาจจะทดแทนด้วยผลิตภัณฑ์อื่นได้ แต่เรื่องของคุณสมบัติเฉพาะ และคุณประโยชน์นั้นทดแทนกันได้ยาก ด้วยความพิเศษดังกล่าวนี้เชื่อว่าจะทำให้ลูกค้าเกิดความผูกพันกับผลิตภัณฑ์ในระยะยาวและมีโอกาสที่จะแนะนำให้คนดื่มเพิ่มขึ้น นอกจากนี้การที่เราให้เลือกถึง 6 รสชาติ เชื่อว่าจะต้องมี 1 รสชาติที่โดนใจแน่นอน หากไม่ชอบรสชาตินี้ก็ต้องชอบอีกรสชาติหนึ่งเท่าที่เราทดสอบตลาดมา”