กระเป๋าเงินออนไลน์
การทำธุรกรรมทางการเงินบนโลกยุคใหม่กำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่รูปแบบการการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
ไม่ว่าจะเป็น E-Payment ,E-Money แต่ใช่ว่าทุกคนที่มีเทคโนโลยีจะพร้อมก้าวเข้าสู่โลกแห่งการเงินยุคใหม่ ด้วยอุปสรรคเพียงแค่ไม่มีบัญชีธนาคาร ปัจจุบันปัญหาดังกล่าวได้ถูกขจัดออกไปด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และมันสมองของคนกลุ่มหนึ่ง
กว่าจะเป็น DeepPocket
ทวีชัย ภูรีทิพย์ ประธานบริหารบริษัท ทีทูพี จำกัด (T2P) เล่าถึงจุดเริ่มต้นให้ฟังว่า เดิมทีบริษัทดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวกับการเป็นผู้ให้บริการโซลูชั่นสำหรับการสร้าง และรักษาฐานลูกค้าเพื่อองค์กรหรือบริการ ได้แก่ โปรแกรม Loyalty บนบัตร และ Cash Card ให้กับองค์ต่างๆ ซึ่งปัจจุบันมีผู้ใช้งานกว่า 1 ล้านคน และให้บริการแก่ลูกค้าองค์กรกว่า 1,500 ร้านค้าชั้นนำของประเทศ
ทั้งนี้ จากความเป็นผู้นำทางด้านการให้บริการในรูปแบบดังกล่าวของประเทศไทย ผสมผสานกับประสบการณ์จากการทำธุรกิจเกี่ยวกับเกมส์ออนไลน์ ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นเด็กวัยรุ่นที่ไม่มีบัญชีธนาคารเป็นของตนเอง ทำให้ไม่สามารถทำธุรกรรมออนไลน์ได้ เราจึงมองเห็นโอกาสที่จะทำตลาดกับกลุ่มเป้าหมายกลุ่มนี้ และได้จุดประกายไอเดียของการใช้กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-wallet ที่ไม่ใช่มีไว้เพื่อเติมเงินสำหรับเกมส์ออนไลน์เท่านั้นขึ้นมา โดยใช้เวลาในการพัฒนาโปรแกรม และปรับจูนกว่า 1 ปีจนกลายมาเป็นแอพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือ (Mobile Application) ที่ชื่อว่า “DeepPocket” ที่สามารถดาวน์โหลดได้ทั้งระบบ IOS และ Android
ชูความปลอดภัยขั้นสูง
DeepPocket มีจุดเด่นสำคัญอยู่ที่ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องมีบัญชีกับธนาคารแห่งใดเลย แต่สามารถนำเงินไปชำระสินค้าและบริการแทนเงินสดผ่านโทรศัพท์มือถือได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว เพียงแค่เติมเงินเข้าสู่ระบบผ่านทางเคาท์เตอร์ของร้านสะดวกซื้อและช่องทางของธนาคาร โดยที่ระบบจะดำเนินการจัดการให้ทั้งหมด เพียงแค่ผู้ใช้ยื่นให้เจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการและชำระเงิน ยอดเงินจำนวนดังกล่าวก็จะเข้าสู่กระเป๋า DeepPocket ของผู้ใช้งานทันที เพื่อนำไปทำธุรกรรมออนไลน์ตามที่ต้องการโดย DeepPocket จะเปรียบเสมือนบัตรเครดิต ซึ่งผู้ใช้งานสามารถนำตัวเลขนั้นไปกรอกและสามารถชำระเงินทำธุรกรรมได้
ขณะที่ในส่วนระบบความปลอดภัยนั้น อันดับแรกเลยเราเป็นบริษัทที่อยู่ภายใต้ใบอนุญาตของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพราะฉะนั้นก็จะต้องทำตามกฎข้อบังคับหรือระเบียบของ ธปท. เราก็จะมีมาตรฐานความปลอดภัยที่ต้องปฏิบัติตาม อีกทั้งยังมีการตรวจสอบโดยการพยายามเจาะระบบจากภายนอก และภายในเป็นประจำทุกปีจากบุคคลภายนอกที่ถูกตั้งแต่ขึ้นมา นอกจากนี้ในลำดับถัดไปเรากำลังดำเนินการเพิ่มระบบรักษาความปลอดภัยให้เป็นมาตรฐานในระดับโลก
อย่างไรก็ตาม DeepPocket ไม่ใช่เหมาะกับผู้ที่ไม่มีบัญชีของธนาคารเท่านั้น แต่ผู้ที่มีบัญชีธนาคารแต่ไม่ต้องการนำบัญชีดังกล่าวมาเชื่อมโยงกับการทำธุรกรรมออนไลน์ก็สามารถใช้งานได้เช่นเดียวกัน โดยสามารถมั่นใจในระบบความปลอดภัยได้อย่างเต็มที่ เพราะเวลาที่ทำธุรกรรมทุกครั้งระบบจะมีรหัสลับ 3 หลัก ซึ่งจะเปลี่ยนทุกครั้งเวลาที่ทำรายการ โดยผู้ใช้งานที่เป็นเจ้าของ DeepPocket ที่จะรู้ได้ หากมีการลักลอบใช้งานโดยผู้อื่นก็จะไม่สามารถทำรายการได้จนเสร็จสิ้น เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งาน โดยเรามีพาสเนอร์คือธนาคารธนชาติและมาสเตอร์การ์ด
ชูระบบแชร์เงินร่วมกับเพื่อน
ทวีชัย กล่าวต่อไปอีกว่า สิ่งที่สำคัญที่ทำให้ DeepPocket มีความแตกต่างจากบัญชีธนาคารตามปกติทั่วไป ก็คือฟีเจอร์ที่เราพัฒนาขึ้นมาภายใต้ชื่อ “เฟรนด์แอนด์แฟมิลี่แชร์ลิ่ง” (Friend and family Sharing) ซึ่งผู้ใช้งานสามารถแบ่งปันเงินหรือยืมเงินจากเพื่อนที่ยอมรับข้อตกลงในการแบ่งปันร่วมกันได้ โดยมีเงื่อนไขที่แต่ละคนจะให้เพื่อนยืมได้เกิน 50 บาท ซึ่งระบบจะดำเนินการจัดสรรให้ทั้งหมดในขั้นตอนของการยืมและเวลาที่เราผู้ยืมเติมเข้าสู่ระบบเพื่อเป็นการชำระหนี้เพื่อนที่ยืมมา
“ตามปกติหากเป็นกระเป๋าเงินในลักษณะดังกล่าวนี้ผู้ใช้งานจะใช้เงินได้เท่าที่ได้มีการเติมเงินเข้าไป แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือเวลาที่เราจะทำธุรกรรม หรือช็อปออนไลน์ในเวลากลางคืนแต่ขาดเงินอยู่เพียงไม่กี่บาท ซึ่งหากจะต้องออกไปข้างนอกเพื่อทำการเติมเงินที่ร้านสะดวกซื้อก็ดูจะลำบากเกินไป แต่หากมีระบบเฟรนด์แอนด์แฟมิลี่แชร์ลิ่งผู้ใช้งานก็จะสามารถทำธุรกรรมได้โดยยังไม่ต้องเติมเงินและเมื่อถึงเวลาที่สะดวกก็ทำการเติมเงินตามปกติ ระบบก็จะทำการคืนเงินให้กับเพื่อนที่เรายืมมาโดยอัตโนมัติ ข้อดีก็คือยิ่งเรามีเพื่อนสนิทมากเท่าไหร่ ปริมาณเงินสำรองของเราก็จะมีมากขึ้น”
วางเป้าเป็นผู้นำในภูมิภาค
ทวีชัย กล่าวต่อไปอีกว่า ปัจจุบันมีผู้ที่ดาวน์โหลด DeepPocket ไปใช้งานแล้วกว่า 1 แสนราย โดยมียอดการทำธุรกรรมเกิน 10 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งเป้าหมายในระยะต่อไปก็คือ การขยายกลุ่มลูกค้าและบริการไปในกลุ่มของอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) ทั่วไปให้มากขึ้น ขณะที่แผนในระยะยาวก็คือการนำบริการดัวกล่าวนี้ไปให้บริการยังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเวลานี้เรากำลังหารือร่วมกับพาสเนอร์ในประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ,ลาว ,เมียน์มาร์ และเวียดนาม) เนื่องจากกลุ่มประเทศเล่านี้มีลักษณะที่คล้ายคลึงกับประเทศไทย หรืออาจจะด้อยกว่าในเรื่องของการมีบัญชีธนาคาร ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ดี
“ธุรกิจอีมันนี่ อีเพลย์เม้นท์ หรือกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ส่วนใหญ่จะถูกรัฐบาลควบคุมและมีกฎหมายที่ค่อนข้างจะเข้มงวดอยู่ในต่างประเทศ เพราะฉะนั้นกลยุทธ์ที่เรามองไว้ในการเจาะกลุ่มลูกค้า CLMV ก็คือการหาพาสเนอร์ที่มีใบอนุญาตอยู่แล้วในประเทศนั้นๆ โดยเรามีหน้าที่นำเทคโนโลยีนำระบบ และนำองค์ความรู้ที่เรามีอยู่ไปใช้ ซึ่งจะช่วยทำให้เข้าไปทำได้อย่างรวดเร็ว โดยมีเป้าหมายการเป็นผู้นำในตลาดด้านนี้ในเขตภูมิภาคนี้ในส่วนของระบบการชำระเงิน”
ขณะที่เป้าหมายทางด้านรายได้เชื่อว่า DeepPocket จะสามารถทำให้เกิดอัตราการขยายตัวได้ 2-3 เท่าภายในปีนี้ และจะทำให้มีรายได้เกิน 100 ล้านบาทภายในปี 60 เพราะการทำตลาดของกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ยังมีโอกาสอีกมาก เนื่องจากจำนวนผู้ใช้งานยังมีไม่ถึง 10% ของที่สามารถทำได้ ขณะที่รัฐบาลเองก็พยายามผลักดันระบบการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ด้านธนาคารเองก็ตื่นตัวมากขึ้นในเรื่องของฟินเทค โดยหากดูสถิติของผู้ใช้งานโมบายแบงก์กิ้งก็จะพบว่าเติบโตเป็นเท่าตัวทุกแห่ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคเริ่มหันมาใช้งานเทคโนโลยีกันมากขึ้น หากมีตัวเลือกมากขึ้น รวมถึงมีความสะดวกมากขึ้น ผู้ใช้งานก็จะมีมากขึ้น ซึ่งจะเป็นโอกาสของบริษัทที่เข้าไปทำตลาด.