จับตายาสูบฯยุคใหม่ “พลัง’บิ๊กคอนเน็กชั่น”
การยาสูบฯ ยุค “พี่บิ๊ก” ดึงพลังคอนเน็กชั่น หวังปูทางสร้างความสำเร็จในทุกมิติ ประกาศ “เปลี่ยนคู่แข่งเป็นพันธมิตรธุรกิจ” เดินหน้าลดต้นทุนแฝงและอุปสรรคขององค์กร พร้อมสร้างรายได้ใหม่ ภายใต้ความโปร่งใส ไร้คอร์รัปชั่น
“คอนเน็ตชั้นดี มีชัยไปกว่าครึ่ง”
และความเป็น “มิสเตอร์ คอนเน็กชั้น” ที่ย้ายข้ามห้วยจาก…องค์การตลาด กระทรวงมหาดไทย มานั่งเก้าอี้ ผู้ว่าการการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) ในสังกัดกระทรวงการคลัง ของ “พี่บิ๊ก” นายภาณุพล รัตนกาญจนภัทร รอบนี้
อาจสร้างความเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล? ให้กับรัฐวิสาหกิจที่เคยมีรายได้จำนวนมหาศาล จากการค้าใบยาสูบและบุหรี่… แต่ไม่ใช่วันนี้ และในอนาคตอีกต่อไปแล้ว
แม้จะเข้ามาบริหารงานในฐานะ “เบอร์ 1” ของ ยสท. ยาวนานกว่า 4 เดือน ทว่า “พี่บิ๊ก” เพิ่งมีโปรแกรม “เปิดตัว” เพื่อฉายวิสัยทัศน์ กับผู้สื่อข่าวประจำกระทรวงการคลัง ในงาน TOAT Meet the Press Party 2020 ณ ร.ร.แมริออท โฮเทล สุขุมวิท 57 เมื่อช่วงค่ำวันที่ 11 ก.ย.2563 นี้เอง
และในวันนั้น…หลายคนได้เห็นเหล่า “คนดัง” ในแวดวงการเมือง ข้าราชการ ทหาร-ตำรวจ นักธุรกิจ ฯลฯ โดยเฉพาะ นายพินิจ จารุสมบัติ อดีตรองรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอีกหลายกระทรวง ที่ปัจจุบัน ผันตัวเองมานั่งเป็น…นายกสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน
หรือแม้แต่ นายศิวะ แสงมณี “อดีตบิ๊กข้าราช” หลายตำแหน่งในสังกัดกระทรวงมหาดไทย และอดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ
สำหรับ “พี่บิ๊ก” หรือ นายภาณุพล แล้ว ระหว่าง 4 เดือนเศษนั้น…เขาทำอะไรอยู่?
เจ้าตัวบอกเองว่า…เพื่อการสร้าง “มิติใหม่” ให้กับ ยสท. ตัวเขาจำเป็นจะต้องเดินหน้า สร้างความเปลี่ยนแปลงภายในองค์กรขนานใหญ่ โดยใช้ความเป็น “มิสเตอร์ คอนเน็กชั้น” เป็นหัวขบวนสำคัญในการสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงสร้างสรรค์ในครั้งนี้
นับเป็นโจทย์ใหม่และใหญ่มาก!
เพราะสิ่งนี้…ไม่เคยเกิดขึ้นและเป็นไปมาก่อน สำหรับคนในองค์กร ยสท. ที่เคยแต่คุ้นชินกับสภาพการทำงานแบบเก่า…เชิงตั้งรับ!
การรุกแบบฉับพลัน! จำเป็นจะต้อง สร้างความเปลี่ยนแปลงจากภายในสู่ภายนอก ควบคู่กันไปด้วย และเป็นเหตุผลสำคัญทำให้ ตลอดระยะเวลากว่า 4 เดือนเศษของเขา หมดไปกับภารกิจสำคัญ นั่นคือ…
การทำให้สาธารณชนรู้จักความเป็นตัวตนของ ยสท.ให้มากยิ่งขึ้น ประชาชนต้องทราบถึงภารกิจหน้าที่ต่างๆ ของ ยสท. และสิ่งที่ ยสท. ทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติมาโดยตลอด
ที่สำคัญ จะต้องทำให้ ยสท.เป็นองค์กรที่ดีในสายตาของสาธารณชน
ยุคของ “พี่บิ๊ก” จึงเริ่มต้นด้วยการจัดตั้งทีม Brand Ambassador ทำหน้าที่สื่อสารออกไปว่า ยสท. ทำอะไรบ้าง?
ขณะเดียวกัน เขาและทีมงาน จำต้องเร่งขับเคลื่อนอีกภารกิจสำคัญ นั่นคือ “เปลี่ยนคู่แข่งเป็นพันธมิตร” ดึงเอาคู่แข่งธุรกิจในอดีต มาเป็น “ผู้ว่าจ้าง ยสท. ผลิตบุหรี่” โดยใช้ใบยาสูบที่ผลิตในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ของพันธมิตร อันเป็นการช่วยพี่น้องเกษตรกรที่เพาะปลูกยาสูบไปในตัว
รวมถึงเดินสายสร้างและส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีในทุกระดับและทุกมิติ
ตั้งแต่ระดับฐานราก สร้างความสัมพันธ์กับชาวไร่ผู้เพาะปลูกใบยาสูบในสังกัดกว่า 50,000 ครัวเรือนทั่วประเทศ จนถึงการพบปะเยี่ยมเยียนคู่ค้า Modern trade ร้านค้าส่งยาสูบทั่วประเทศ การส่งเสริมช่องทางการจำหน่าย
แม้กระทั่งการร่วมมือกับ Stakeholder ทุกฝ่าย สร้างประโยชน์แบบ win-win
“สิ่งที่ ยสท.ควรให้ความสำคัญที่สุดในขณะนี้คือ ต้องตระหนักว่าธุรกิจยาสูบไม่ใช่รัฐวิสาหกิจที่มีรายได้มากมายมหาศาลเหมือนเช่นในอดีตที่ผ่านมา” นั่นคือสิ่งที่ นายภาณุพล บอกกับคนในองค์กรของตัวเอง
นอกจากนี้ ผู้บริหารของ ยสท. ที่ก้าวสู่ยุคใหม่ ต้องพร้อมรับฟังความคิดเห็น และรับฟังข้อมูลรอบด้าน 360 องศา ทั้งจากพนักงานและประชาชนทั่วไป
นั่นเพราะ ทัศนคติเชิงบวกของพนักงานทุกคนต่อองค์กร จะช่วยให้ ยสท. สามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี
แต่ยังมีปมปัญหาสำคัญ ที่อาจ สั่นคลอนรายได้ในอนาคต นั่นคือ…โครงสร้างภาษีสรรพสามิตบุหรี่ใหม่ ที่จะทำให้ ยสท. สูญเสียโอกาสในการทำกำไร และ ปัญหาบุหรี่เถื่อน ที่ ยสท.จำเป็นต้องประสานและบูรณาการร่วมกับหน่วยงานและองค์กรหลายภาคส่วน เพื่อแก้ไขปัญหาข้างต้น
ไม่ว่าจะเป็น…เจ้าหน้าที่ตำรวจ สรรพสามิต ศุลกากร และร้านค้าทั่วประเทศ เพื่อมิให้บุหรี่ผิดกฎหมายมาแย่งส่วนแบ่งการตลาดของบุหรี่ ยสท. ซึ่งหมายถึงการทำให้รัฐเสียประโยชน์
ควบคู่กันไป แม้ ยสท.จะมีนโยบายร่วมลดการบุหรี่ของคนไทย แต่สังคมไทยยังคงมีคนสูบบุหรี่อยู่ราว 9.7 ล้านคน ถือเป็นตลาดที่ไม่เล็ก จึงมีแผนจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาด โดยเฉพาะตลาดระดับกลาง
นอกจากนี้ ยสท.ยังมีแผนในการหารายได้จากช่องทางอื่นๆ โดยเฉพาะการส่งเสริมให้มีการปลูกพืชเศรษฐกิจทดแทนยาสูบ ใช้งบประมาณที่มีอยู่อย่างพอเพียงเพื่อประโยชน์สูงสุด ปรับลดรายจ่ายและต้นทุนแฝงที่ไม่จำเป็นออกไป รวมถึงเร่งสร้างแผนการพัฒนาที่ดิน ทั้งในส่วนกลางและสำนักงานยาสูบส่วนภูมิภาค เพื่อเพิ่มมูลค่าและสร้างรายได้ให้กับองค์กรในอนาคต
“ในเดือน ส.ค.และ ก.ย.ที่ผ่านมา เราสามารถลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นได้มากถึง 140 ล้านบาท ทำให้มีกำไรเพิ่มขึ้นในจำนวนเงินเดียวกัน และตั้งเป้าในปีหน้า จะลดให้ได้ถึง 450 ล้านบาท โดยมีแผนจะลดการทำงานล่วงเวลาของคนใน และการเลิกจ้างงานคนนอกในส่วนที่ไม่สำคัญและจำเป็นออกไป” นายภาณุพล ย้ำและว่า
ยสท.ยุคใหม่ ต้องกล้าเปลี่ยนแปลง เพื่อความมั่นคงและยั่งยืน นโยบายที่ตนให้ความสำคัญมากที่สุด คือ เรื่องธรรมาภิบาล การบริหารงานด้วยความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ เป็นธรรมกับทุกฝ่าย
และภารกิจเร่งด่วนที่สำคัญที่สุดไม่ต่างกัน คือ การเสนอปรับปรุงแก้ไขโครงสร้างภาษีให้เหมาะสม เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ เกษตรกร และทุกฝ่าย พร้อมเดินหน้าส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจเพื่อทดแทนยาสูบ เช่น กัญชา-กัญชง เพื่อสร้างโอกาสการลงทุนในอนาคตต่อไป
โดยขณะนี้ ยสท.ได้ทำบันทึกข้อตกลงร่วมกับสถาบันการศึกษาชั้นนำ โดยเฉพาะ สถาบันราชภัฏเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เพื่อร่วมกันวิจัยและพัฒนาพืชกัญชงและกัญชา ใน 3 ภารกิจสำคัญ คือ…
1.ผลิตในเชิงอุตสาหกรรม เพื่อผลิตเส้นใยสำหรับในไปตัดเย็บเสื้อผ้าที่มีคุณภาพสูงและเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก 2.ผลิตเป็นน้ำมัน (ออย) เพื่อสุขภาพ รวมถึงนำไปต่อยอดผลิตเป็นเครื่องสำอาง ครีมบำรุงผิว ครีมกันแดด และอื่นๆ และ 3.ผลิตเป็นยารักษาโรค ในอุตสาหกรรมทางการแพทย์
สำหรับ แผนการนำที่ดินไปพัฒนา นั้น “พี่บิ๊ก” ย้ำว่า…ยสท. มีที่ดินตั้งในใจกลางเมืองใหญ่หลายแห่ง นอกจากในส่วนกลาง (กรุงเทพฯ) แล้ว ที่ดินใน จ.เชียงราย เชียงใหม่ หนองคาย และอีกหลายๆ แห่ง ล้วนตั้งอยู่ในทำเลที่สำคัญ ในใจกลางเมือง ย่านธุรกิจและแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ แถมยังมีขนาดใหญ่
มากพอจะเปิดทางให้ นักธุรกิจมืออาชีพ มาร่วมเป็นพันธมิตรในการพัฒนาที่ดินของ ยสท. โดยการ “ให้เช่าที่ดิน” ภายใต้แนวคิด ที่ ยสท. ประเทศชาติ และประชาชนจะต้องได้ประโยชน์สูงสุด ทั้งในเชิงมิติรายได้ และมิติทางสังคม ซึ่งขณะนี้ ก็มีเอกชนรายใหญ่หลายรายเสนอตัวมาให้พิจารณาบ้างแล้ว
ทั้งหมดที่ “พี่บิ๊ก” หรือ นายภาณุพล ผู้ว่าการ ยสท. บอกมาตั้งแต่ต้น สะท้อนนัยสำคัญ และตอกย้ำถึงสิ่งที่ตัวเขาพยายามจะสื่อสารในวันเปิดอย่างเป็นทางการ ทำนอง…
“คอนเน็ตชั้นดี มีชัยไปกว่าครึ่ง” นั่นเอง.