ปมอันเป็นเหตุ! ยื้ออนุมัติงบ 4 แสนล้าน
คำตอบมีแล้ว! เหตุที่ สภาพัฒน์/คณะกรรมการกลั่นกรองฯ นิ่ง? เพราะรอ…ครม.ชุดใหม่ รอ…รองนายกฯและรมว.คลังคนใหม่ ถึงตอนนั้น…อาการเร่งรัด กับภาวะ “เทกระจาด” อาจมีให้ได้เห็นจากมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมฯ 4 แสนล้านบาท
วันอังคารที่แล้ว (21 ก.ค.) เว็บไซต์ข่าว AEC10NEWS ตั้งคำถามถึง “ผู้เกี่ยวข้อง” กับการดูแล งบประมาณเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมฯจากเงินกู้ 4 แสนล้านบาท ที่จะนำมาใช้ตามมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมไทย ในวันที่รัฐบาล “ไร้ร่างเงา” ของ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ผู้คอยกำกับดูแลนโยบายและติดตามแนวทางการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
โดยเฉพาะในฝั่งของ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) เพราะ นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสภาพัฒน์ ทำหน้าที่ ประธานคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ตาม พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 พ.ศ.2563 (เงินกู้ 4 แสนล้านบาท) ควบคู่ไปด้วย ทำนอง…
โจทย์เดิม! อันเป็นการบ้านข้อสำคัญ ที่ นายสมคิด มอบหมายให้ สภาพัฒน์ เร่งรัดดำเนินการอนุมัติโครงการ/แผนงาน พร้อมเม็ดเงิน เพื่อขับเคลื่อนนโยบายในการสร้างความเชื่อมโยงกับ…การจ้างงานใหม่ แก้ไขปัญหาการว่างงาน หลังจากภาคธุรกิจต้องหยุดดำเนินการในช่วงที่ผ่านมา รวมถึง เร่งส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน เพื่อสร้างระบบเศรษฐกิจฐานราก (Local Economy) ให้เข้มแข็ง
ทั้งหมดพุ่งเป้าไปยังแนวทางที่ภาครัฐจำต้องเน้นพึ่งพาเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นหลัก!
ถึงตอนนี้ “การบ้าน” ข้อนั้น…เปลี่ยนโจทย์ไปแล้วหรือไม่? ในเมื่อไม่มี “คนคุมเกม” อย่าง…นายสมคิด หัวจิตหัวใจของ “คนจัดการ” จะแปรเปลี่ยนหรือเปล่า?
ผ่านมาเพียงสัปดาห์เดียว เว็บไซต์ข่าว AEC10NEWS มีคำตอบในเรื่องนี้ ให้แล้ว…
ย้อนกลับไปเมื่อปลายเดือน มิ.ย.2563 พบว่า…ตัวเลขการจัดทำโครงการ/แผนงานที่ส่วนราชการและหน่วยงานรัฐ ทั้งในส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น นำเสนอต่อสภาพัฒน์ รวมกันมากถึง มากกว่า 4.3 หมื่นโครงการ คิดเป็นวงเงินรวมกว่า 1.3 ล้านล้านบาท จำเป็นที่ สภาพัฒน์ ในนาม “คณะกรรมการกลั่นกรองฯ” จะต้องคัดกรองและตัดทิ้งโครงการที่ไม่สอดรับกับแนวนโยบายของรัฐบาลออกไปกว่า 2 ใน 3 เพื่อให้เหลือโครงการ/แผนงาน ไม่เกินวงเงินที่กันไว้ 4 แสนล้านบาท
หากวัดกันที่เป้าหมายและแผนงานของแต่ละโครงการ/แผนงาน ที่เสนอกันมาเป็นจำนวนมหาศาลนั้น มีแค่ 10 กว่าโครงการ/แผนงานเท่านั้น ที่สามารถตอบโจทย์ของรัฐบาลได้
เพราะเหตุผลข้อนี้หรือไม่? จึงทำให้ สภาพัฒน์ ภายใต้การกำกับดูแลของ นายทศพร จึงหยุดนิ่งต่อการเร่งรัด…ปล่อยผ่านโครงการ/แผนงานนั้นๆ เพื่อรอดูความชัดเจนจากคณะรัฐมนตรี “ประยุทธ์ 2/2” โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ ว่าจะมีนโยบาย หรือมุมมองข้อคิดเห็นในเรื่องนี้อย่างไร?
ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนเปลง ชนิด…พลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน! ล่ะก็ ชื่อคนที่จะมานั่งเก้าอี้ แทน…นายสมคิด (อดีตรองนายกรัฐมนตรี) และนายอุตตม สาวนายน (อดีต รมว.คลัง) น่าจะเป็น…คนๆ เดียวกัน นั่นก็คือ…นายปรีดี ดาวฉาย กก.ผจก.ธนาคารกสิกรไทย และประธานสมาคมธนาคารไทย ที่จะนั่งควบ..รองนายกรัฐและ รมว.คลัง
ว่ากันว่า…คนๆ นี้ ไม่เพียงมีภูมิรู้ทางด้านกฎหมายระดับเซียน โดยเฉพาะกฎหมายว่าด้วยการปรับโครงสร้างหนี้ หากแต่ประสบการณ์ในการบริหารสถาบันการเงิน ระดับติดอันดับ TOP 5 ของประเทศไทย อย่าง…ธนาคารกสิกรไทย ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา บวกกับการทำหน้าที่ในฐานะ ประธานสมาคมธนาคารไทย และประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. (สมาคมธนาคารไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย)
เมื่อนับรวมกับ ภารกิจที่ใกล้ชิดกับการเมือง อย่าง…การทำหน้าที่เป็น สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และ คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ รวมถึง กรรมการในคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดอย่างมากกับ “ขั้วอำนาจ” ในตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
แถมระหว่างที่…นายสมคิดและนายอุตตม ยังทำงานร่วมกับรัฐบาลนั้น ทุกครั้งของการประชุมว่าด้วยการกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาล ก็มักจะปรากฏชื่อของ นายปรีดี อยู่ร่วมในฐานะ…ประธานสมาคมธนาคารไทย ทุกครั้งไป
คุณสมบัติและองค์ประกอบเหล่านี้ จึงเหมาะสมกับสถานการณ์ที่รัฐบาล “ใครหาไม่ได้” แล้ว…มากที่สุด!
ประเด็นคือ ไหนๆ เรื่องก็ช้ามาจนถึงตรงนี้แล้ว หาก สภาพัฒน์ จะดึงเรื่องให้มันช้าอีกสักนิด…รอให้มี นายปรีดี เข้ารับตำแหน่ง รองนายกฯและรมว.คลัง อย่างเป็นทางการเสียก่อน ค่อยไปเริ่มต้นกันใหม่ ก็คงไม่สายอะไรนัก!
ตัวเลขการเบิกจ่ายเงินในงบ 4 แสนล้านบาท ที่ เว็บไซต์ข่าว AEC10NEWS นำเสนอข่าวไปเมื่อวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา มันก็ฟ้องชัดว่า…สภาพัฒน์ ในนามของคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ดึงเรื่องอันเป็น “โจทย์เก่าของนายเก่า” ไว้หรือไม่? อย่างไร?
นั่นเพราะจากตัวเลขที่ นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผอ.สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง โชว์ให้ผู้สื่อข่าวดู ว่า…ณ ขณะนั้น มีโครงการเบิกจ่ายเงินจากวงเงินเต็ม 4 แสนล้านบาท อยู่เพียงแค่ 290,000 บาทเศษเท่านั้น หรือคิดเป็นแค่ 0.0000725% ถือว่า…น้อยมากๆ เมื่อเทียบกับสถานการณ์เศรษฐกิจในยามนี้ ที่รัฐบาลจำเป็นจะต้องใช้จ่ายเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเม็ดเงินจากมาตการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมฯก้อนนี้
แต่เมื่อ การเมืองเกิดภาวการณ์เปลี่ยนแปลง! ผู้ใหญ่ในรัฐบาล จึงจำต้อง “ตามน้ำกันไป” รอให้ถึงวันที่ “ครม.ประยุทธ์ 2/2” มีตัวตน”””อย่างเป็นทางการเมื่อไหร่?
ถึงตอนนั้น…การขับเคลื่อนในลักษณะ “เทกระจาด” คงมีให้เห็นกันแน่!.