สคร.จี้ รสก.ลงทุน 3.5 แสนล. หนุนเสถียรภาพการคลัง
สคร.สวน “ปัจจัยลบ” ประกาศเดินหน้าตามนโยบายกระทรวงการคลัง ตอบโจทย์ปีแห่งการลงทุนและการสร้างเสถียรภาพทางการคลัง เน้นเร่งการลงทุนรัฐวิสาหกิจและโครงการ PPP เก็บรายได้นำส่งตามเป้า และสร้างความแข็งแกร่งให้รัฐวิสาหกิจ มั่นใจงบลงทุนทั้งปี 3.5 แสนล้านบาท ต้องเบิกจ่ายไม่ต่ำกว่า 90% เผยมี 6 โครงการใหญ่ จ่อลงนามในปี 63
“ปีแห่งการลงทุน” ที่รัฐบาลประกาศเอาไว้ก่อนหน้านี้ ถูกท้าทายจาก “3 ปัจจัยลบ”…ภัยแล้งต่อเนื่อง งบประมาณฯที่ล่าช้า และการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลให้หลายสำนักวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจ แม้กระทั่ง สภาพัฒน์ ยังปรับลดตัวเลขจีดีพีลงเหลือ 1.5-2.5%
กระนั้น ก็มีปัจจัยบวกที่ นายประภาศ คงเอียด ผอ.สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) และคณะผู้บริหาร สคร. เชื่อว่า น่าจะพอบรรเทาปัจจัยลบข้างต้นได้บ้างไม่ว่าจะเป็น…มาตรการที่รัฐบาลเร่งดำเนินการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน มาตรการส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก แนวโน้มการค้าและเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้น รวมถึงการขยายตัวด้านการค้าและการลงทุน
“สคร.มีส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยจากความท้าทายดังกล่าว ผ่านการเร่งการลงทุนภาครัฐและโครงการ PPP รวมถึงการจัดเก็บรายได้แผ่นดินของรัฐวิสาหกิจให้เป็นไปตามเป้าหมาย และส่งเสริมความเข้มแข็งให้รัฐวิสาหกิจในช่วงที่เศรษฐกิจมีความผันผวน เพื่อสนับสนุนปีแห่งการลงทุนและการสร้างเสถียรภาพทางการคลังของประเทศตามนโยบายกระทรวงการคลัง” ผอ.สคร.ระบุ และว่า

นอกจากความท้าทายในระยะสั้นแล้ว สคร.ยังเห็นว่า การเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจะมีส่วนสำคัญต่อการเพิ่มความขีดสามารถในการแข่งขันและเป็นการสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจในระยะยาว ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้ว รัฐวิสาหกิจเป็นหน่วยงานหลักที่มีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ในกิจการโครงสร้างพื้นฐาน ที่ต้องขับเคลื่อนให้เกิดการลงทุนและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของรัฐวิสาหกิจและการให้เอกชนร่วมลงทุน หรือ PPP อย่างต่อเนื่อง ใน
ด้านนายชาญวิทย์ นาคบุรี รอง ผอ. สคร. รักษาการ ที่ปรึกษาด้านการประเมินรัฐวิสาหกิจ กล่าวเสริมว่า สคร. ได้กำหนดกิจกรรมหลักตามนโยบายกระทรวงการคลัง ผ่านการเร่งการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ โดยให้รัฐวิสาหกิจเร่งเบิกจ่ายให้เร็วขึ้นในส่วนที่สามารถดำเนินการได้ (Front-Loaded) และหาโครงการลงทุนใหม่ๆ มาเพิ่มเติมในปี 2563 รวมทั้ง สคร. ยังเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาที่ทำให้การลงทุนติดขัดอีกด้วย
นอกจากนี้ สคร.ยังได้ยกระดับกลไกการติดตามการลงทุนของรัฐวิสาหกิจให้เข้มข้นยิ่งขึ้น โดยร่วมกับกรมบัญชีกลางในการติดตามความคืบหน้าของโครงการลงทุนที่สำคัญของภาครัฐที่มีมูลค่าตั้งแต่ 1,000 ล้านบาท เป็นต้นไป โดย สคร. จะรับผิดชอบในส่วนของรัฐวิสาหกิจทั้งหมด และเพิ่มการติดตามการเบิกจ่ายงบลงทุนของบริษัทในเครือขนาดใหญ่ของรัฐวิสาหกิจและรัฐวิสาหกิจประเภทสถาบันการเงิน เพื่อให้การติดตามการลงทุนของรัฐวิสาหกิจครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ปี 2563 มีแผนการเบิกจ่ายประมาณ 350,000 ล้านบาท โดย ณ สิ้นเดือน ม.ค. 2563 มีแผนการเบิกจ่ายสะสม 35,339 ล้านบาท ซึ่งรัฐวิสาหกิจสามารถเบิกจ่ายได้ 37,279 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 105 ของแผน อีกทั้ง สคร. ตั้งเป้าหมายให้การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจในปี 2563 จะต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของแผนเบิกจ่ายทั้งปี
สำหรับการจัดเก็บรายได้แผ่นดินจากรัฐวิสาหกิจและกิจการที่กระทรวงการคลังถือหุ้นต่ำกว่าร้อยละ 50 นั้น สคร. มีเป้าหมายการจัดเก็บอยู่ที่ 188,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 20,800 ล้านบาท โดยผลการจัดเก็บ ณ วันที่ 19 ก.พ.ที่ผ่านมา พบว่ามี 95,635 ล้านบาท คิดเป็นประมาณร้อยละ 50 ของเป้าหมายแล้ว สคร.คาดว่า จะสามารถจัดเก็บรายได้นำส่งรัฐให้เป็นไปตามเป้าหมาย เพื่อให้เพียงพอต่อการใช้จ่ายต่างๆ ของภาครัฐ
และสามารถรักษาเสถียรภาพทางการคลัง
“ช่วง พ.ย.-ธ.ค.2562 สคร.ได้เร่งรัดรัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายเพื่อการลงทุนเป็นไปตามนโยบายของรองนายกฯสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เกิน 1 แสนล้านบาทเล็กน้อย และในช่วง ม.ค.-มี.ค.2563 ที่จะลงทุนอีก 1แสนล้านบาทนั้น โดยเมื่อผ่าน ม.ค. มาแล้ว พบว่า รัฐวิสาหกิจเริงเบิกจ่ายเพื่อการลงทุนได้ราว 2.8 หมื่นล้านบาท แคาดว่าที่เหลืออีก 7.2 หมื่นล้านบาทในช่วง 2 เดือนที่เหลือของไตรมาสนี้จะเป็นไปตามเป้าหมาย ส่วนภาพใหญ่ในการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ 3.5 แสนล้านบาท เมื่อหักช่วง ม.ค.-มี.ค. ไปแล้ว จะเหลืออีก 2.5 แสนล้านบาท สคร. พร้อมจะติดตามและเร่งรัดให้มีการลงทุนให้ได้ตามแผนงาน” นายชาญวิทย์ ย้ำ

ขณะที่ น.ส.ปิยวรรณ ล่ามกิจจา รอง ผอ. สคร. รักษาการที่ปรึกษาด้านการพัฒนารัฐวิสาหกิจ กล่าวว่า ในส่วนของการผลักดันโครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP)คาดว่า ในปี 2563 แผนการจัดทำโครงการร่วมลงทุนใหม่จะสามารถนำเสนอคณะกรรมการ PPP ให้ความเห็นชอบได้ ซึ่งทำให้เห็นเป้าหมายของโครงการ PPP ที่ชัดเจน สนับสนุนการลงทุนของประเทศ โดยร่างแผนที่จะเสนอคณะกรรมการ PPP จะมีโครงการ PPP ประมาณ 90 โครงการ มูลค่าการลงทุนกว่า 1 ล้านล้านบาท
โดยจะมีทั้งโครงการเชิงพาณิชย์และเชิงสังคม และในปีนี้ กฎหมายลำดับรองภายใต้ พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 น่าจะแล้วเสร็จทั้งหมด คาดว่าจะมีโครงการ PPP ที่สำคัญ ดังนี้
โครงการที่จะสามารถลงนามในสัญญาร่วมลงทุนได้ อย่างน้อย 6 โครงการ รวมมูลค่าการลงทุน ประมาณ 385,000 ล้านบาท ได้แก่โครงการ Motorway สายบางปะอิน-โคราช ในส่วนของ O&M ของกรมทางหลวง (ทล.),โครงการ Motorway สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ในส่วนของ O&M ของ ทล.,โครงการจัดประโยชน์ที่ดิน โรงแรมแกรมไฮแอท เอราวัณ ของสหโรงแรม, โครงการการจัดให้เช่าที่ราชพัสดุสนามกอล์ฟบางพระ ของกรมธนารักษ์, โครงการศูนย์การขนส่งฯ นครพนม ของกรมการขนส่งทางบก, โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่จะนำเสนอคณะกรรมการ PPP อย่างน้อย 4 โครงการ รวมมูลค่าการลงทุนประมาณ 31,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการเคหะชุมชนเชียงใหม่ (หนองหอย) ของการเคหะแห่งชาติ (กคช.), โครงการศูนย์การแพทย์กระทรวงสาธารณสุข ของกรมการแพทย์, โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยและพาณิชยกรรมตามเส้นทางโครงข่ายรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนของ กคช., โครงการการบริหารจัดการท่าเทียบเรือสาธารณะเพื่อขนถ่ายสินค้าเหลว ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจนั้น น.ส.ปิยวรรณ กล่าวว่า สคร. ยังคงติดตามการแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจที่อยู่ในแผนการแก้ไขปัญหาองค์กรอีก 5 แห่งต่อเนื่องอย่างใกล้ชิด และจะเสนอแต่งตั้งคณะอนุกรรมการของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ชุดใหม่ เพื่อดูแลรัฐวิสาหกิจที่มีปัญหาเป็นการเฉพาะเพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมและมีความต่อเนื่อง โดยในปัจจุบันรัฐวิสาหกิจทั้ง 5 แห่ง มีความคืบหน้า
ที่สำคัญดังนี้

บมจ. การบินไทย ยังคงต้องแก้ไขปัญหาเรื่องการเพิ่มรายได้ ลดค่าใช้จ่าย เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการและคุณภาพบริการ และที่สำคัญต้องเร่งให้มีการดำเนินโครงการพัฒนาศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา (MRO) ให้ได้โดยเร็ว
การรถไฟแห่งประเทศไทย สามารถปิดงบการเงินเป็นปัจจุบันให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ตรวจสอบงบได้แล้ว สำหรับสิ่งที่ยังคงต้องติดตามและกำกับอย่างใกล้ชิด คือ การจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ และการให้บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด มาดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ซึ่งทั้งสองส่วนนี้ กระทรวงคมนาคมอยู่ระหว่างนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ประเด็นสำคัญอยู่ที่ความชัดเจนของแผนการก้ไขปัญหาขององค์กรที่อยู่ระหว่างการปรับปรุงการปรับปรุงแผนฟื้นฟูกิจการตามนโยบายของรัฐกระทรวงคมนาคม และแนวทางการจัดหารถโดยสารใหม่ตามแผนที่จะปรับปรุง
บมจ. กสท โทรคมนาคม และ บมจ. ทีโอที นั้น คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 14 ม.ค.2563 ได้เห็นชอบการควบรวมแล้ว และต้องดำเนินการควบรวมให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน หลังจากที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ แต่ยังคงมีรายละเอียดจำนวนมากที่ต้องดำเนินการให้สามารถควบรวมได้อย่างไม่มีปัญหา
ด้านนายประภาศ กล่าวสรุปปิดท้ายว่า แผนการดำเนินงานในปี 2563 ตามภารกิจงานของ สคร. ทั้ง 3 ด้านที่กล่าวมาจะเป็นไปเพื่อการสนับสนุนปีแห่งการลงทุนของรัฐบาลและการสร้างเสถียรภาพทางการคลังในช่วงที่เศรษฐกิจของประเทศที่มีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งจากแผนการดำเนินงานข้างต้น คาดว่า สคร. จะช่วยเร่งการลงทุนของภาครัฐให้ปรับตัวดีขึ้นได้ กระทั่งเชื่อว่าการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจน่าจะไม่ต่ำกว่าร้อยละ 90 ของแผน และสร้างกลไกที่เอื้อต่อการเข้ามาร่วมลงทุนของเอกชนในกิจการของรัฐผ่านกฎหมาย ระเบียบ และกระบวนการ PPP ที่สนับสนุนให้เกิดโครงการเร็วขึ้น รวมถึงส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดการบูรณาการโครงการลงทุนร่วมกัน เช่น โรงไฟฟ้าชุมชน หรือสถานีชาร์จไฟฟ้า ของรัฐวิสาหกิจกลุ่มพลังงาน
นอกจากนี้ สคร. ยังคงให้ความสำคัญกับการสร้างความแข็งแกร่งให้แก่รัฐวิสาหกิจในทุกด้าน และจัดเก็บเงินนำส่งรายได้แผ่นดินของรัฐวิสาหกิจให้เป็นไปตามเป้าหมาย เพื่อสร้างเสถียรภาพทางการคลังให้ประเทศในระยะยาว สำหรับการดำเนินการตาม พ.ร.บ.การพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2562 (พ.ร.บ. พัฒนารัฐวิสาหกิจฯ) ปัจจุบัน คนร. มีองค์ประกอบครบถ้วนแล้ว และคาดว่าจะมีการประชุม คนร. ได้ภายในเดือน มี.ค. 2563 นี้ เพื่อขับเคลื่อนงานต่างๆ ที่สำคัญตาม พ.ร.บ.พัฒนารัฐวิสาหกิจฯ ต่อไป.