กนง. คงอัตราดอกเบี้ยที่ 1.25% ในปี 2020
SCB EICคาด กนง. คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องที่ 1.25% ในปี 2020 จากความเสี่ยงด้านต่ำในต่างประเทศที่ปรับลดลง และต้องการรักษา policy space เพื่อรองรับความเสี่ยงในระยะต่อไป
ความเสี่ยงจากต่างประเทศทั้งสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน และสถานการณ์ Brexit ปรับลดลง สหรัฐฯประกาศยกเลิกการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนในรอบเดือนธันวาคม และลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจีนที่ประกาศขึ้นในช่วงก่อนหน้าลงบางส่วน ในขณะที่จีนให้คำมั่นสัญญาใน 7 ประเด็นหลักที่เป็นข้อพิพาทในช่วงก่อนหน้า โดยคาดว่าจะลงนามภายในไตรมาสแรกของปี 2020 จึงทำให้แนวโน้มการค้าและภาคการผลิตของโลกปรับดีขึ้น ส่งผลดีต่อการส่งออกและภาคการผลิตไทยในบางประเภทเช่นกัน (รูปที่ 1) นอกจากนี้ ความเสี่ยง no-deal Brexit ยังปรับลดลงเช่นกันหลังพรรค Conservative ชนะการเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมาก ซึ่งอาจส่งผลดีทำให้ความผันผวนของตลาดการเงินไทยลดลง
• ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมากแล้ว กนง. อาจต้องการรักษา policy space และพึ่งพานโยบายด้านอื่นมากขึ้นประสิทธิภาพในการส่งผ่านการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทยอาจมีไม่มากเท่าในอดีตที่ผ่านมาและด้วยอัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันที่อยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ กนง. จึงอาจต้องการรักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน (policy space) เอาไว้เพื่อรองรับความเสี่ยงในระยะต่อไป นอกจากนี้ การชะลอตัวของอุปสงค์ในประเทศ ส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง ดังนั้นการใช้นโยบายการคลังและการปฎิรูปเชิงโครงสร้างจึงมีความจำเป็นมากขึ้นเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ดี อีไอซีมองว่ามีโอกาส 40% ที่ กนง. จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 1 ครั้งในช่วงครึ่งแรกของปี 2020 หากการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศและคุณภาพสินเชื่ออ่อนแอกว่าที่คาด รวมถึงความเสี่ยงการกลับมาแข็งค่าของเงินบาท
•ความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงินที่ยังคงมีอยู่ การก่อหนี้ใหม่ในช่วงที่ผ่านมาได้ปรับชะลอลงตามการให้สินเชื่อที่มีแนวโน้มชะลอลง แต่คุณภาพสินเชื่อยังคงด้อยลงต่อเนื่อง สะท้อนจากสัดส่วนหนี้เสียที่ยังคงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจ SMEs การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจึงอาจช่วยลดภาระหนี้สินลงได้
• ค่าเงินบาทที่ยังมีโอกาสปรับแข็งค่าขึ้นได้ แม้ในช่วงที่ผ่านมา การแข็งค่าของเงินบาทจะชะลอลงหลังจากที่ ธปท. ได้ผ่อนคลายกฎเกณฑ์กำกับดูแลการแลกเปลี่ยนเงิน แต่อย่างไรก็ดี ด้วยแนวโน้มการคงดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ทำให้โอกาสที่เงินดอลลาร์สหรัฐจะอ่อนค่ามีน้อยลง ประกอบกับความเสี่ยงจากสงครามการค้าที่ลดลง ทำให้ความเชื่อมั่นต่อสินทรัพย์ในประเทศตลาดเกิดใหม่อาจมีมากขึ้น ดังนั้นความเสี่ยงที่ค่าเงินบาทจะกลับมาแข็งค่าจึงยังมีอยู่และการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะช่วยลดแรงกดดันต่อเงินบาทได้
อีไอซีคาด ธปท. เตรียมปรับกรอบเงินเฟ้อ เพื่อช่วยให้สอดคล้องกับพลวัตเงินเฟ้อและเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันมากขึ้นจากการรายงานของสำนักข่าวในประเทศ ธปท. ร่วมกับกระทรวงการคลัง กำลังพิจารณาและประเมินกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่เหมาะสมสำหรับในปี 2020 เพื่อเสนอต่อ ครม. เห็นชอบ
• อีไอซีคาดว่ากรอบเงินเฟ้ออาจถูกปรับลงมาอยู่ที่ 1-3% (จากเดิม 1-4%) และจะยกเลิกการใช้ค่ากลาง (เดิมอยู่ที่2.5%) โดยสาเหตุที่ ธปท. ต้องการปรับลดขอบบนของกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อมาจากปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ทำให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำและมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นช้ากว่าในอดีต ไม่ว่าจะเป็นผลจากการขยายตัวของธุรกิจ e-commerce การแข่งขันด้านราคาที่สูงขึ้น พัฒนาการของเทคโนโลยีที่ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง และการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุที่จะทำให้การซื้อสินค้าและบริการมีแนวโน้มลดลง การปรับกรอบเงินเฟ้อจึงมีความจำเป็นเพื่อให้เหมาะสมกับพลวัตอัตราเงินเฟ้อและเศรษฐกิจไทยที่เปลี่ยนไป
• นอกจากนี้ หากดูข้อมูลอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงที่ผ่านมาจะพบว่า ตั้งแต่ปี 2015 ที่เริ่มมีการประกาศใช้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อเดิม (1-4%) อัตราเงินเฟ้อทั่วไปไม่สามารถเข้าใกล้ค่ากลางของกรอบเป้าหมายที่ 2.5% ได้เลย อีกทั้ง ค่าเฉลี่ยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยสามารถกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายได้เพียงในปี 2018 ซึ่งอยู่ที่เพียง 1%
คาดผลกระทบจากการปรับกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อต่อแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 2020 มีค่อนข้างจำกัดเนื่องจาก อีไอซีประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2020 จะอยู่ที่ 0.6% ซึ่งต่ำกว่าขอบล่างของกรอบนโยบายการเงินอยู่แล้ว (รูปที่ 2) อย่างไรก็ดี อีไอซีมองว่า หลังการยกเลิกการใช้ค่ากลาง กนง. อาจดำเนินนโยบายการเงินโดยให้น้ำหนักต่อเรื่องการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และเสถียรภาพระบบการเงินมากขึ้น สำหรับผลของการปรับกรอบเงินเฟ้อในระยะปานกลางถึงยาวนั้น อีไอซีมองว่า อาจมีผลให้คาดการณ์เงินเฟ้อปรับต่ำลง
จึงทำให้ กนง. อาจไม่สามารถปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้มากนักในระยะต่อไป ซึ่งหมายถึงขีดความสามารถในการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในอนาคตจะมีน้อยลงตามไปด้วย