เผือกร้อน ครม.ใหม่ – โจทย์หิน พิชัย รัฐมนตรีคลัง ฟูลไทม์
ครม.เศรษฐา 1/1 ไม่มีเวลาทดลองงาน ไม่มีเวลาฮานีมูนพีเรียด หลังจากใช้เวลาไปกับการออนทัวร์-เดินสายโรดโชว์ต่างประเทศ ลงพื้นที่ต่างจังหวัดตลอด 6-7 เดือนที่ผ่านมา แต่ผลงานยังไม่เข้าตา-นโยบายเรือธงยังไม่เป็นชิ้นเป็นอัน
ทันทีที่รัฐมนตรีหน้าใหม่-ตำแหน่งใหม่ เข้ากระทรวง-ปฏิบัติหน้าที่ มีโจทย์หิน-ความท้าทายนัดหมายรอต่อแถวเข้าไปสะสาง-สานงานต่อ ภายในเวลาจำกัด 6 เดือน ตามสไตล์ทักษิณ ก่อนที่จะประเมินผลงาน ว่าจะได้ไปต่อหรือเก็บข้าวของ-ม้วนเสื่อกลับบ้าน เหมือนอดีตรัฐมนตรีที่โดนปรับออกจากตำแหน่ง แบบฟ้าผ่า-ไม่ทันได้ตั้งตัว โดยเฉพาะ “ปานปรีย์ พหิทธานุกร” ริบเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรี เหลือเพียงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศเพียงตำแหน่งเดียวจนต้องแสดงจุดยืน ประกาศลาออก
พิชัย ขุนคลังฟูลไทม์ – เผ่าภูมิ มิสเตอร์ดิจิทัลวอลเล็ต
กระทรวงการคลัง ที่ได้ “พิชัย ชุณหวชิร” มาเป็น “รมว.คลังคนใหม่” แบบ “ฟูลไทม์” แถมหนีบเก้าอี้ตัวใหญ่ อย่าง “รองนายกรัฐมนตรี” คุมเศรษฐกิจ “เผือกร้อน” ของ “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” รัฐบาลนายเศรษฐา คือ การแก้ปัญหาราคาพลังงาน ซึ่งขณะนี้มาตรการลดค่าไฟฟ้า-ราคาน้ำมันดีเซล “สิ้นสุด” ลงไปแล้ว ยังไม่มีการ “ต่ออายุ” ลดภาษีสรรพสามิต ออกมาแต่อย่างใด รวมถึงแผนการจัดเก็บรายได้เข้ารัฐ หลังจากถมเงินไปกับโครงการเงินดิจิทัลวอลเลตไปกว่า 5 แสนล้านบาท โดยเฉพาะการ “ปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ” ที่จะเป็นเนื้อเป็นหนัง เป็นผลงาน “โบแดง” ของรัฐบาลเศรษฐา มากกว่านโยบาย “ประชานิยม” ที่มุ่งแต่จะ “แจกเงิน” เท่านั้น ซึ่งมี “ผลข้างเคียง” ต่อสถานะทางการเงินการคลังของประเทศ นอกจากนี้ยังมี “โจทย์หิน” ที่ “ขุนคลังป้ายแดง” ต้องเอาแขนก่ายหน้าผาก คือ การต้องเผชิญหน้ากับ “ผู้ว่าแบงก์ชาติ” พร้อมกับการรับ “แรงกระแทก” จากฝ่ายการเมือง-พรรคเพื่อไทยในเรื่องการ “ลดดอกเบี้ย”
ขณะที่ “ตัวช่วย” ได้ “เผ่าภูมิ โรจนสกุล” มิสเตอร์ดิจิทัลวอลเล็ต มาเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ขยับจาก “คนเบื้องหลัง” มาอยู่ “เบื้องหน้า” ผลักดัน “ดิจิทัลเวลเลต” ที่ดูเหมือนจะปิดจ็อบได้แล้ว แต่ไส้ในยัง “ไม่สะเด็ดน้ำ” โดยเฉพาะการ “ยืมเงินธ.ก.ส.” 1.7 แสนล้านบาท เส้นทางที่อาจจะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะต้องหาเงินก้อนโตมากองไว้หลังบ้าน 5 แสนล้านบาทมาเป็น “แบ็กอัพ” ไม่ให้ผิดกฎหมาย พ.ร.บ.เงินตรา ส่วนโจทย์ที่ท้าทาย “ทีมเศรษฐกิจ” ของพรรคเพื่อไทย คือ นโยบายเศรษฐกิจที่เคยหาเสียงไว้หลายเรื่องยังไม่ได้ทำตามสัญญา การมีรัฐมนตรีโควตาพรรคเพื่อไทยถึง 3 คน คงต้องผลักดันกันสุดแรงเกิดให้ออกดอกออกผลไปถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า นับรวมถึงเมกะโปรเจ็กต์อย่าง “กาสิโนถูกกฎหมาย” ระเบิดเวลาที่อยู่ในมือของ “จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์” รัฐมนตรีช่วยคลังอีกคน
“ทูตปู” รับศึกใหญ่-สงครามตัวแทน
ส่วนกระทรวงต่างประเทศ หลังจาก “ปานปรีย์” ไขก๊อก ก็ไปคว้าคนกันเอง-คนใกล้ชิดทักษิณ มาไว้ใช้งานได้อย่างทันควัน ทูตปู-มาริต เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีใหม่แต่เป็น “คนหน้าเก่า” เป็น ลูกหม้อ” ในกระทรวงบัวแก้ว ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตมาแล้วหลายประเทศ เรื่องการเจรจาทางการทูตไว้ใจได้ แต่ “งานหิน” อยู่บนโต๊ะกองโต โดยเฉพาะสถานการ์ตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์-ความขัดแย้งในภูมิภาคทั่วโลกทั้ง อิสราเอล-ฮามัสและอิหร่าน ยูเครน-รัสเซีย ที่มีประเทศมหาอำนาจอยู่เบื้องหลัง-เป็นสงครามตัวแทน และประเทศเพื่อนบ้านอาเซียน อย่างการปะทะของกลุ่มชาติพันธุ์เมียนมาร์ ที่ หลังจากนี้คงจะเป็นการพิสูจน์ฝีมือของ “ทูตปู” ว่าจะเก่งฉกาจสมคำร่ำลือหรือไม่
ขยับมาที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่อัดมาเต็มคาราเบลถึง 3 คน ทั้ง พิชิต ชื่นบาน-จักรพงษ์ แสงมณี และจิราพร สินธุไพร ล้วนแล้วเป็นคนเก่าแก่-คนใกล้ชิด และเด็กปั้นของพรรคเพื่อไทยและตระกูลชินวัตร-ทวีสิน ที่จะเข้ามาขับเคลื่อนงานหลังบ้านให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งเรื่องการสื่อสาร “เชิงรุก” ของรัฐบาล ผ่าน “สื่อของรัฐ” ทั้งกรมประชาสัมพันธ์ และ อสมท. รวมถึง “งานกฎหมาย” ที่ได้ “ทนายประจำตระกูลชินวัตร” อย่าง “พิชิต” มาคอยปัดกวาด-กลั่นกรองวาระครม. และการเสริมทัพ “ทีมโฆษกรัฐบาล” อีกชั้นหนึ่ง
“หมอสมศักดิ์” หย่าศึกกระทรวงหมอ
ขณะที่ “กระทรวงหมอ” อย่างกระทรวงสาธารณสุข ได้ “หมอการเมือง” อย่าง “สมศักดิ์ เทพสุทิน” มานั่งเป็นรัฐมนตรีว่าการ มีการบ้าน-ภารกิจใหญ่รออยู่ คือ การต่อยอดนโยบาย “30 บาทรักษาทุกโรค” ให้เป็น “30 บาทรักษาทุกที่” ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ให้สำเร็จ รวมถึงการเข้าไป “หย่าศึก” ระหว่างข้าราชการในกระทรวงกับ “แพทย์ชนบท” ที่ขัดแย้งกันมาเป็นระยะเวลายาวนาน จนสั่นคลอนเก้าอี้รัฐมนตรีสาธารณสุขมาแล้วนับไม่ถ้วน
ปิดท้ายด้วยกระทรวงเศรษฐกิจเกรดเอที่ได้รัฐมนตรีต่างพรรคอย่าง “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น จากพรรครวมไทยสร้างชาติ มาช่วยที่กระทรวงพาณิชย์ และ “อรรถกร ศิริลัทธยากร” พรรคประชารัฐส่งเข้าประกวดมาเป็นรัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ มาเป็น “อะไหล่” ให้ “เจ้ากระทรวง” ได้เรียกใช้ งานที่ได้รับมอบหมายไม่ได้ทำให้แสดงฝีมือได้มากมาย แต่เพียงเติมให้เต็มโควตาพรรคร่วมรัฐบาลไม่ให้เกิดแรงกระเพื่อม-เขย่าเสถียรภาพของรัฐบาลจนทำให้เสียสมาธิ
ส่วนการ “สลับเก้าอี้” ระหว่างกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา กับ กระทรวงวัฒนธรรม ของ “สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล” กับ “เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช” คงต้องลุ้นกันตัวโก่ง ยังเกิดคำถามว่า ถูกฝาถูกตัวหรือไม่