ทักษิณ ฟื้นเพื่อไทย-กระชับอำนาจเสื้อแดง ทวงคืนฐานที่มั่นชินวัตร
การกลับมาเหยียบตึก AOI กองบัญชาการ พรรคเพื่อไทยของ “ทักษิณ ชินวัตร” ในรอบ 17 ปี ปลุก “อดีตพรรคอันดับ 1” ให้ตื่นจากการเป็น “ยักษ์หลับ” อีกครั้ง
การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2566 พรรคเพื่อไทยต้องพ่ายแพ้ให้กับ “พรรคน้องใหม่” อย่างก้าวไกล-อดีตพรรคอนาคตใหม่ที่มีอายุงานเพียง 5 ปี เสียสถิติพรรคที่ชนะเลือกตั้งเป็นอันดับ 1 ทุกการแข่งขันสนามเลือกตั้งใหญ่ครั้งแรกในรอบ 22 ปี เปลี่ยนภูมิทัศน์ทางการเมืองใหม่ พรรคใหญ่-พรรคเก่าแก่โดน “ดริสรัป” ซึ่ง “โทนี่ วู๊ดซั่ม” อ่านเกมขาด หากไม่ปรับเปลี่ยนกระบวนท่า-จัดทัพทางความคิดใหม่ อาจจะถึงขั้นพลาดพลั้งให้กับ “พรรคสีส้ม” ยิ่งเดิมพันสูง-เทหมดหน้าตักด้วยการ “ผสมพันธุ์ข้ามขั้ว” กับ “พรรคทหาร” ราคาที่ต้องจ่ายจึงแพงระยับ ต้องพลิกฟื้นพรรคเพื่อไทยให้กับมาอยู่ในจอเรดาร์
กระชากเรตติ้งเพื่อไทย
ความเคลื่อนไหวของ “ทักษิณ” สะท้อนให้เห็น ว่า ไม่ได้ป่วยหนัก-ไม่ได้กลับมา “เลี้ยงหลาน” เท่านั้น แต่กลับมา “ฟื้นพรรค” เพื่อไทยให้ผงาดเหมือนกับในยุคไทยรักไทย-พรรค 377 เสียงในตำนาน กว่า 1 ชั่วโมงที่ทักษิณ จับเข่าคุย สส.-ลูกพรรคเพื่อไทย ไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบ ก่อนจะบอกว่า ยังมีเวลาที่จะได้พบกันอีก และจะหาโอกาสเดินสายไปจังหวัดภาคอีสานทุกอำเภอ-ทุกหมู่บ้าน ให้กองเชียร์-แฟนพันธุ์แท้ได้เห็นกับตา-ใกล้ชิดตัวเป็น ๆ เพราะภาคอีสาน-ถิ่นคนเสื้อแดงที่เป็นแฟนคลับของทักษิณจนถึงปัจจุบัน เป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคเพื่อไทยที่ยังได้คะแนนนิยมเป็นกอบเป็นกำ
ก้าวแรกของ “ทักษิณ” ตั้งแต่ออกจาก “คุกทิพย์” ออกตัวตั้งแต่อยู่ใน “บ้านจันทร์ส่องหล้า” แสดงพลังให้เห็นว่าเป็น “ผู้มีบารมี” ตัวจริง-เสียงจริงของพรรคเพื่อไทย มีนายกรัฐมนตรีไทย-อดีตนายกรัฐมนตรีเพื่อนบ้านไปเยี่ยมเยียนทันที ระหว่าง “พักโทษ” ชนิดหัวบันไดไม่แห้ง ออกจากถ้ำไป-เสริมสิริมงคลเดินทางเข้ากราบสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร ก่อนที่จะสักการะศาลหลังเมืองและเดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่ระหว่างทาง-ระหว่างวันมี สส.-รัฐมนตรี-ข้าราชการ นักการเมืองท้องถิ่น-นักธุรกิจร่วมต้อนรับอุ่นหนาฝาคั่ง ล่าสุด “ทักษิณ” ไปปรากฏตัวเป็นประธานพระราชทานเพลิงศพ “อนันต์ ฉายแสง” บิดาของนายจาตุรนต์ ฉายแสง รายล้อมไปด้วยกำลังหลักของพรรคเพื่อไทย ทริปต่อไปจะ “กลับบ้านเกิด” อีกครั้ง ไป “ทำบุญ” ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ระหว่างวันที่ 12-16 เมษายนนี้ ที่จังหวัดเชียงใหม่
ทวงคืนฐานเสียงชินวัตร
ปฏิเสธไม่ได้ว่าในช่วงที่ทักษิณ ต้องลี้ภัย-หลบกระสุนการเมืองอยู่ต่างแดนถึง 17 ปี โดน “พรรครุ่นลูก” อย่างพรรคก้าวไกลในปัจจุบันตีป้อมค่ายทั่วหัวระแหง-ทุกภูมิภาค โดยเฉพาะฐานที่มั่นของ “ตระกูลชินวัตร” อย่างภาคเหนือ ที่พรรคก้าวไกลกวาดไปได้กว่า 20 ที่นั่ง สวนทางกับพรรคเพื่อไทยที่โดนยึดหัวหาด กินพื้นที่ไปถึงการเลือกตั้งท้องถิ่น “คณะก้าวหน้า” รุกคืบ มิหนำซ้ำพรรคพลังประชารัฐที่มี “อดีตคนเพื่อไทย” แชร์ส่วนแบ่งไปหลายที่นั่ง โดยเฉพาะจังหวัดพะเยาและเพชรบูรณ์
การเลือกตั้งปี 62 จังหวัดเชียงใหม่ แม้พรรคเพื่อไทยจะกวาดเก้าอี้ สส. “ยกจังหวัด” 9 ที่นั่ง แต่พรรคอนาคตใหม่ในขณะนั้นได้คะแนนเป็นอันดับสอง-อันดับสาม หายใจรดต้นคอพรรคเพื่อไทย ก่อนจะถูกเจาะพื้นที่แตก จากการคว้าชัยในการ “เลือกตั้งซ่อม” เขต 8 เป็นสัญญาแจ้งเตือนว่า “ล้มช้าง” เกิดขึ้นแล้วและเป็นไปได้ จนกระทั่งการเลือกตั้งปี 66 พรรคก้าวไกลในปัจจุบัน “กระชาก” เข็มขัดแชมป์จะพรรคเพื่อไทยได้สำเร็จ กวาดเก้าอี้ สส.ไปได้ถึง 7 ที่นั่ง เหลือไว้ให้พรรคเพื่อไทยเพียง 2 ที่นั่ง ซึ่งชนะไปเพียง “หลักร้อยคะแนน” แบ่งให้พรรคพลังประชารัฐไป 1 ที่นั่ง
กระชับอำนาจเสื้อแดง
การบุกเบิกกลับ “แผ่นดินแม่” ของทักษิณ กลายเป็น “จุดเปลี่ยนทางการเมือง” สำคัญ เพราะนอกจากจะปูทางให้ “นายกฯน้องสาว” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับบ้านตามรอย “นายกฯผู้พี่” แล้ว ยังเป็นการการันตีว่า “ขั้วอำนาจ” และสมรภูมิสู้รบทางการเมืองได้ “เปลี่ยนรูป” จากเดิมเมื่อ 17 ปีก่อน หน้ามือเป็นหลังมือ ที่ “ขั้วทักษิณ” ต้องโดนไล่ล่าจาก “พลพรรคอำมาตย์” จนต้องหลบลี้-หนีภัยการเมืองพเนจรอยู่นอกประเทศ จึงได้เห็นปรากฎการณ์ “คนเสื้อแดง” อย่าง “จักรภพ เพ็ญแข” อดีตโฆษกรัฐบาลสมัยรัฐบาลไทยรักไทย-สมัยรัฐบาลพลังประชาชน เดินทางกลับประเทศ หลังจากลี้ภัยทางการเมืองอยู่นอกประเทศกว่า 15 ปีเต็ม กรุยทางให้กับ “คนเสื้อแดง” ตามกลับมา เช่น นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทยและอดีตรมว.มหาดไทยในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ นายสุนัย จุลพงศธร อดีต สส.พรรคเพื่อไทย เป็นการส่งสัญญาณเรียก “ไพร่พลเสื้อแดง” ให้กับมารวมพลอีกครั้ง
ว่ากันว่า หัวใจดวงแรก ของ “ทักษิณ” เก็บใส่ตู้เซฟไว้ในบ้านจันทร์ส่องหล้า หัวใจดวงที่สอง ฝังไว้ใต้แผ่นดินเกิด-จังหวัดเชียงใหม่ หัวใจดวงที่สามฝากไว้ที่ทำการพรรคเพื่อไทย และ หัวใจ “ดวงที่สี่” เก็บไว้บนตึกไทยคู่ฟ้า หลังจากรัฐประหารข้ามทวีป เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 โดยไม่รู้ล่วงหน้า-ไม่ทันตั้งตัว จึงยังไม่ได้นำกลับ ดังนั้น เหลือแต่เพียงอำนาจในทำเนียบรัฐบาลที่ “ทักษิณ” ยังแตะไม่ได้-เตะไม่ถึง เพราะยังอยู่ระหว่าง “พักโทษ” ต้องรอวัน “พ้นโทษ” ในวันที่ 22 ส.ค. 2567 เมื่อถึงวันนั้นอาจจะได้เห็นทักษิณกำหนดทิศทาง ในสถานะะใดสถานะหนึ่งในทำเนียบรัฐบาลก็เป็นได้
33 วันที่ “ทักษิณ” พ้นคุก–พักโทษ เดินสายไม่ไว้วรรคลมหายใจ “กระชับอำนาจ” คนเสื้อแดง ที่เคยระหองระแหง–วาดระแวงหลังจากถีบหัวเรือขึ้น ทิ้งภาระให้ต้องคดี–ติดคุกการเมือง ให้กลับมาเป็นกองกำลังทางการเมือง ฟื้นกระแสพรรคเพื่อไทยให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง