ยุบพรรค-ตัดสิทธิการเมือง ชนักปักหลัง ก้าวไกล
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ “คดีล้มล้างการปกครอง” กลายเป็น “ชนักปักหลัง” พรรคก้าวไกล ไม่ให้แตะต้อง “ม.112” ทั้งในบนออนไลน์และออฟไลน์
พลันที่ 9 ตุลาการศาลรัฐธรมนูญอ่านคำวินิจฉัยจบ พรรคก้าวไกลที่ตั้ง “วอร์รูม” ฟังคำสั่งที่รัฐสภา ไม่ลังเลที่จะ “ปลดป้าย” นโยบายหาเสียง “แก้มาตรา 112” ที่แขวนอยู่บนเว็บไซต์ “พรรคก้าวไกล – Move Forward Party” ออกไปแบบไม่มีคำบอกลา “จุดขาย” ที่ใช้ในการเลือกตั้งทั้ง 2 ครั้งที่ผ่านมา จนทำให้เกณฑ์ สส.ในสภาทั้งในนามพรรคอนาคตใหม่ และพรรคก้าวไกล ชนิด “ปากกาเซียนหัก”
ตุลาการภิวัฒน์ แผลงฤทธิ์
มติ 9 ต่อ 0 ของศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้การกระทำของ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” และพรรคก้าวไกลกับพวก สส. รวม 44 คนที่ลงชื่อเสนอร่างพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพ เพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และสั่งให้เลิกกระทำ-เลิกแสดงความคิดเห็น ทั้งการพูด-เขียน พิมพ์-โฆษณา รวมถึงการสื่อความหมายโดยวิธีอื่นในที่แจ้ง มีผล “ผูกพันทุกองค์กร” เป็นอีก 1 คดีที่ “ตุลาการภิวัฒน์” แผลงฤทธิ์
ก่อนหน้านี้ ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยคดีของ “พรรคสีส้ม” ให้ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หัวหน้าพรรค-สส.บัญชีรายชื่อ อนาคตใหม่ พ้นสมาชิกภาพความเป็น สส. ใน “คดีหุ้นสื่อ” เพราะถือหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด จำนวน 675,000 หุ้น ก่อนเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 รวมถึงคดียุบพรรคอนาคตใหม่ กรณีกู้ยืมเงินนายธนาธร จำนวน 191.2 ล้านบาท ถือเป็นการบริจาคเงินให้กับพรรคการเมืองเกิน 10 ล้านบาท จนแกนนำพรรคอนาคตใหม่ “แถวสอง” ต้องไปสร้าง “ยานแม่ลำใหม่” เป็นเครื่องจักรสีส้มที่ชื่อพรรคก้าวไกลในปัจจุบัน
เขี่ยลูก กกต.- ป.ป.ช.ซ้ำดาบสอง
หนังม้วนเดิมกำลังกลับมาฉายซ้ำอีกรอบ เมื่อมีนักร้อง (เรียน) “รับลูก” ต่อจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญทันที โดยหยิบ “คดีล้มล้างการปกครอง” มาเป็น “สารตั้งต้น” ฟาดฟัน พิธา-พรรคก้าวไกล “ดาบสอง” โดยมี “ขาประจำ” ออกจากที่ตั้งมารวมตัวกันโดยมิได้นัดหมาย ทั้ง นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ “นักร้องเรียนตัวยง” นายธีรยุทธ สุวรรณเกสร หรือ “อดีตทนายความพระพุทธอิสระ” คนที่ไปร้องศาลรัฐธรรมนูญคดีพรรคก้าวไกลแก้ไข “ม.112” และ “สนธิญาณ สวัสดี” เป็นการ “เขี่ยลูก” ให้ ทั้งกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ส่งไม้ต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญและศาลฏีกายุบพรรค-ตัดสิทธิทางการเมือง
ประวัติการทำศึก “นิติสงคราม” กับ “องค์กรอิสระ” ของพรรคก้าวไกล กับ กกต.ก็คือ หน่วยงานที่รับเรื่อง-ส่งเรื่อง “คดีหุ้นไอทีวี” จนทำให้นายพิธา เกือบพ้นจากสมาภาพความเป็น สส.- ไม่ได้เข้าสภามาแล้ว เพราะสุดท้ายก็สามารถเอาตัวรอดออกมาชนิด “หักมุม” ตอนจบ เมื่อศาลเห็นว่า บ.ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ไม่ได้ประกอบกิจการสื่อมวลชนแล้ว ขณะที่ ป.ป.ช.เป็นองค์กรวัดมาตราฐานจริยธรรมนักการเมือง “ขั้นต้น” ใน “คดีช่อ” พรรณิการ์ วานิช อดีตสส.- โฆษกพรรคอนาคตใหม่ โพสต์ภาพและข้อความถึงสถาบันและไม่ลบออก ศาลฏีกาพิพากษาเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดไป ไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองใด ๆ
ยุบพรรค-ตัดสิทธิ 10 ปี
คำร้องที่หนักหน่วงที่สุดของพิธาและพรรคก้าวไกล คือ การยื่นมีดปลายแหลมอาบยาพิษให้ กกต. ตั้งคณะกรรมการไต่สวน ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 92 วรรคหนึ่ง (1) (2) ประกอบมาตรา 92 วรรคสี่ ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่ง “ยุบพรรค” พ่วงด้วยการ “เพิกถอน” สิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล และหากศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรค “กฎหมายพรรคการเมือง” ฉบับปีเดียวกัน มาตรา 94 วรรคสอง ยัง “ห้ามตั้งพรรคใหม่” และ “ห้ามเป็นกรรมการบริหารพรรค” เป็นระยะเวลา 10 ปี
เดินตามรอยคดีล้มล้างการปกครอง “คดีที่สอง” ที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่ง-คำวินิจฉัยที่ 3/2562 เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2562 ให้ยุบพรรคไทยรักษาชาติ “พรรคแบงค์ร้อย” ของ “ทักษิณ ชินวัตร” ตามพ.ร.ป.พรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 92 วรรคหนึ่ง (2) เป็นการ “ล้มล้าง” คือ การกระทำที่มีเจตนาเพื่อทำลายหรือล้างผลาญให้สูญสลายหมดสิ้นไป ไม่ให้ดำรงอยู่หรือมีอยู่อีกต่อไป และเป็น “ปฏิปักษ์” การกระทำที่มีลักษณะเป็นการขัดขวางหรือสกัดกั้นมิให้เจริญก้าวหน้า หรือเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดผลเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลาย จนเกิดความชำรุดทรุดโทรม เสื่อมทราม หรืออ่อนแอลง
จริยธรรมร้ายแรง–ประหารชีวิตทางการเมือง
ส่วนคำร้องที่แม้ไม่ถึงขั้น “เผาบ้าน” แต่ฉกาจฉกรรจ์ถึง “ประหารชีวิตทางการเมือง” นายพิธา-สส.พรรคก้าวไกล รวม 44 คน ที่ร่วมกันลงชื่อเสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2564 โดยการยื่นให้ ป.ป.ช.อาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 234 (1) มาตรา 235 วรรคหนึ่ง (1) พ.ร.ป.ป.ป.ช. พ.ศ.2561 มาตรา 87 ไต่สวน-มีความเห็นกรณีฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามจริยธรรมอย่างร้ายแรง ข้อ 5 ข้อ 6 และข้อ 27 วรรคหนึ่ง เพื่อส่งศาลฎีกาวินิจฉัย “บ้านเลขที่ 44” ห้ามลงสมัครรับเลือกตั้ง-ห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองตลอดไป เลวร้ายที่สุด คือ การตัดสิทธิเลือกตั้ง ตัดขาดจากสิทธิทางการเมืองขั้นพื้นฐาน กลายเป็น “พลเมืองชั้นสอง” ไปตลอดชีวิต
ปลายทาง–จุดจบของ “พลพรรคเครื่องจักรสีส้ม” ยากที่จะคาดเดาใจ “มือที่มองไม่เห็น” จะเล่น “เกมปรองดอง” ประนีประนอม–ประคับประคองสถานการณ์ หรือ ต้องการ “ประหัตประหาร” ทำลายล้างให้สิ้นซาก ดีดพ้นกระดานอำนาจ–รักษาระบอบให้มั่นคง–มั่นคั่ง–ยั่งยืนต่อไป