เผือกร้อน ครม.เศรษฐา 1 แจกเงินดิจิทัล-แก้รัฐธรรมนูญ

อย่างช้าที่สุดปลายเดือนกันยายน 2566 ประเทศไทยจะได้ “รัฐบาลใหม่” ที่มี นายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ชื่อ “เศรษฐา ทวีสิน”
ทันทีที่รัฐบาลผสม 11 พรรค 314 เสียง ภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ถือเป็นการเริ่มนับ 1 ในการบริหารราชการแผ่นดินของ “ครม.เศรษฐา1”
แจกเงินดิจิทัล1หมื่นบาท
ภาระหลักของรัฐบาลเพื่อไทย คือ การผลักดัน “นโยบายหาเสียง” ที่โฆษณาไว้ ทั้งนโยบายแจกเงินดิจิทัลจำนวน 10,00 หมื่นบาท ทุกคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป มีเลขบัตรประจำตัว 13 หลัก ใช้เงินภายในรัศมี 4 กิโลเมตรตามทะเบียนบ้าน เริ่มใช้ต้นปี 67
ปรับขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ 600 บาทต่อวัน เงินเดือนคนจบปริญญาตรี 25,000 บาท ภายในปี 70 เติมเงินทุกครัวเรือนให้มีรายได้ไม่น้อยกว่า 20,000 บาทต่อเดือน
นอกจากนี้ยังมีมาตรการลดราคาพลังงาน ทั้งน้ำมัน ไฟฟ้า ก๊าซ พักหนี้เกษตรกรทั้งต้นและดอกเบี้ย 3 ปี พักหนี้ธุรกิจเฉพาะที่เดือดร้อนจากโควิด-19 เวลา 3 ปี สนับสนุนและอุดหนุน pico finance ค่าโคยสารรถไฟฟ้าในกรุงเทพ 20 บาทตลอดสาย
มาตรการเพิ่มรายได้เกษตรกร 3 เท่า ภายในปี 2570 จากรายได้เฉลี่ย 10,000 บาทต่อไร่ต่อปี เพิ่มเป็น 30,000 บาทต่อไร่ต่อปี จัดสรรที่ดิน ส.ป.ก. เพื่อทำกิน-ออกโฉนด 50 ล้านไร่
นโยบายยกเครื่องเศรษฐกิจใหม่-กระจายอำนาจไปยังต่างจังหวัด ผ่านการสร้างเขตธุรกิจใหม่ (New Business Zone) นำร่อง 4 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ ขอนแก่น และหาดใหญ่
มาตรการเพิ่มแรงจูงใจ-ดึงดูดการลงทุน และลดอุปสรรคการลงทุนทำธุรกิจ ทั้ง ครบจบที่จุดเดียวด้วย “One Stop service” การทำธุรกรรมใดๆ ผ่าน “รัฐบาลดิจิทัล” ทุกอย่างบน Blockchain สะดวก โปร่งใส ไม่มีใต้โต๊ะ มาตรการจูงใจทางภาษีทาง
เพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยว 3 ล้านล้านบาทในปี 2570 ให้ไทยเป็น Regional transport hub ยกระดับสนามบินนานาชาติให้สามารถรองรับนักท่องเที่ยวจำนวน 120 ล้านคนและปริมาณการขนส่งสินค้า cargo จำนวน 3 ล้านตันภายในปี 2570
เจรจากับประเทศต่างๆ เพื่อปลดภาระในการขอวีซ่าเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว เริ่มต้นด้วยการ “ฟรีวีซ่า” นักท่องเที่ยวจีน และยกระดับหนังสือเดินทางไทยให้สามารถเดินทางไปทั่วโลก
เพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ
ขณะที่นโยบายของพรรคร่วมรัฐบาลที่ต้องเอามา “ประกอบร่าง” แถลงนโยบายรัฐบาล เช่น เพิ่มเบี้ยยังชีพสำหรับผู้สูงอายุ ที่มีอยู่สองแนวทาง-สองพรรคการเมือง
แนวทางของพรรคพลังประชารัฐ เพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุแบบขั้นบันได ตั้งแต่อายุ 60 ปี เพิ่มเป็นจำนวน 3,000 บาทต่อเดือน อายุ 70 ปี ขึ้นไป เพิ่มเป็นจำนวน 4,000 บาทต่อเดือน และอายุ 80 ปีขึ้นไป เพิ่มเป็นจำนวน 5,000 บาทต่อเดือน
แนวทางของรวมไทยสร้างชาติ ปรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุแบบ “ทุกช่วงวัย” เป็น 1,000 บาทต่อเดือน พ่วงออปชั่นปรับวงเงิน “บัตรคนจน” จาก 300 บาทต่อเดือน เป็น 1,000 บาต่อเดือน
ไม่มีฮานีมูนพีเรียด
รัฐบาลเศรษฐา ไม่มีช่วงเวลา “ฮานีมูนพีเรียด” ต้องเร่งมือ-เร่งเครื่องแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ-ปากท้อง ที่ร้องระงมทั่วทุกหัวระแหง ทุกหย่อมหญ้า หลังจากจัดตั้งรัฐบาลใหม่ล่าช้า จนเกิด “สุญญากาศ” ในช่วงรัฐบาลรักษาการ “ครึ่งปี”
ทั้งปัญหา “หนี้ครัวเรือน” ที่ทะลุไปถึงร้อยละ 90.6 ต่อจีดีพี ทั้งหนี้บ้าน หนี้เช่าซื้อรถ หนี้บัตรเครดิต และ “หนี้เสีย” 9.4 ล้านบัญชี 9.5 แสนล้านบาท ขณะที่ “หนี้สาธารณะ” ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2566 จำนวน 10.9 ล้านล้านบาท
ตลอดจนภาวะเงินเฟ้อ-สินค้าราคาสูง “แพงทั้งแผ่นดิน” โดยเฉพาะอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ทั้งราคาเป็ด ไก่ ไข่ นม และอาหารสำเร็จรูป “แพงยกแผง” ซ้ำเติมด้วยปัญหาการ “ว่างงาน” 4 แสนกว่าคน
ขณะที่ “เครื่องยนต์เศรษฐกิจ” สำคัญอย่างการส่งออกไตรมาสสอง ปี 66 ลดลง “สองไตรมาสติดต่อกัน” รายได้เกษตรกรลดลง-ราคาสินค้าเกษตรลดลง ทั้งมันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน ยางพารา อ้อย
เผือกร้อน เศรษฐาควบ “รมว.คลัง”
99.99 เปอร์เซ็นต์ ที่นายเศรษฐา จะนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี “ควบ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง “เผือกร้อน” ที่รอ “ขุนคลัง” คือ การแต่งตั้ง “ปลัดคลังคนใหม่” ที่มี “ลวรณ แสงสนิท” อธิบดีกรมสรรพากร เป็น “เต็ง1” คั่วบิ๊กเก้าอี้
ปาดหน้ามากับการจัดทำร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 วงเงิน 3.35 ล้านล้านบาท ที่คาดว่าการใช้จ่ายเงินได้จะล่าช้าถึง 6-8 เดือน หรือ เบิกจ่ายได้จริงในเดือนพฤษภาคม 2567
งบประมาณปี 67 “ร่างเดิม” จะถูก “รื้อทั้งฉบับ” ล้างไพ่รัฐบาลเดิม เพื่อจัดสรรงบประมาณ “สนองโยบาย” ของรัฐบาลผสมใหม่ 6 พรรค ที่ได้หาเสียงไว้ โดยเฉพาะ “เงินดิจิทัล 10,000 บาท” ที่ต้องใช้เงินงบประมาณถึง 5.6 แสนล้านบาท
จึงเป็น “ไฟท์บังคับ” ในการ “รีดไขมัน” หน่วยงานราชการ โดยเฉพาะงบฟุ่มเฟื่อย-ไม่จำเป็น เช่น งบสัมมนา ดูงานต่างประเทศ ซึ่งนโยบาย “รัดเข็มขัด” รัฐราชการ อาจทำให้ข้าราชการไม่แฮปปี้กับรัฐบาลเพื่อไทย นำไปสู่อารยะขัดขืน “เกียร์ว่าง”
ระเบิดเวลาอีกลูก คือ การหั่น “งบกองทัพ” ที่เตรียมไว้จัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ เช่น งบซื้อรถถัง เครื่องบิน เรือดำน้ำ รวมถึง “งบลับ” ที่ไม่สามารถแจกแจงที่ไปได้ว่าเอาไปทำอะไร ต้องแลกมากับการสุมไฟ-ความไม่พอใจให้กับทหารตบเท้าออกจากรมกอง
เอฟเฟ็กต์การจัดทำงบรายจ่ายปี 67 ล่าช้า ส่งผลให้เริ่มเบิกจ่ายงบประมาณได้ในไตรมาสสามของปีงบประมาณ 67 โดยเฉพาะโครงการใหม่ – โครงการปีเดียว สำนักงบประมาณ-กรมบัญชีกลางในกำกับรมว.คลังต้องใส่เกียร์ 5 เดินเครื่องเต็มสูบ
แก้รัฐธรรมนูญ-สลายสีเสื้อ
ภาพการ “จับมือลุง” ของนายเศรษฐา กับ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ทำเนียบรัฐบาล กลายเป็น “ภาพประวัติศาสตร์” จนหลายคนเคลิบเคลิ้มถึงการยุติการแข่งขัน “กีฬาสี” สลายขั้วขัดแย้งระหว่าง “เสื้อเหลือง” กับ “เสื้อแดง”
ยิ่ง “ทักษิณ ชินวัตร” กลับบ้าน และรอเพียงจังหวะ-เวลา ขอพระราชทานอภัยโทษเฉพาะตัว กฎหมายนิรโทษกรรม “เหมาเข่ง-สุดซอย” ที่เคยเป็น “ชนวน” ความขัดแย้ง ก็ถูก “ถอดสลัก”
หมุดหมายของพรรคเพื่อไทยต่อไป ภายใน 2 – 3 ปีของรัฐบาลก่อน “ยุบสภา” คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ผ่านการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) เพื่อรื้อ-ล้าง “ระบอบ 3 ป.” ที่ยังมีเครือข่ายโยงใยในองค์กรอิสระ โดยไม่แตะหมวดสถาบัน
ทันทีที่มีการประชุมครม.นัดแรก ธงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะเป็น “วาระแรก” คู่ขนานไปกับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ