เศรษฐา ลุ้น นายกฯ บิ๊กป้อม รอปิดดีล คนแดนไกล
22 สิงหาคม 2566 เวลา 17.00 น. ถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุทางการเมือง “เศรษฐา ทวีสิน” จะกลายเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30
รัฐบาลผสมพันธุ์ข้ามขั้วมีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ รวมเสียงล่าสุด 314-317 เสียง มี 6 พรรคหลัก ประกอบด้วย เพื่อไทย 141 เสียง ภูมิใจไทย 71 เสียง พลังประชารัฐ 40 เสียง รวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง ชาติไทยพัฒนา 10 เสียง ประชาชาติ 9 เสียงชาติพัฒนากล้า 2 เสียง เพื่อไทรวมพลัง 2 เสียง พรรคเล็ก 1 เสียง ได้แก่ พรรคเสรีรวมไทย พลังสังคมใหม่ พลังท้องที่ไทย ประชาธิปไตยใหม่ พรรคครูไทย และพรรคใหม่แต่เสียงยังไม่อยู่ในพื้นที่เซฟโซนที่จะ “การันตีเก้าอี้” นายกรัฐมนตรีให้กับนายเศรษฐา เพราะต้องรวบรวมเสียงให้ได้เกินครึ่งของทั้งสองสภา หรือ เสียงของ สส.และสว.รวมกันแล้ว ต้องได้เกิน 375 เสียงขึ้นไป
ถึงแม้พรรคเพื่อไทยจะมีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอีก 2 คน เป็น “นายกฯสำรอง” คือ “อุ๊งอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวคนสุดท้องของนายทักษิณ และนายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เบอร์สาม
แต่ “จุดเปลี่ยน” ของเกม คือ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและคำวินิจฉัยของประธานรัฐสภาที่ “ชี้ขาด” ให้พรรคก้าวไกลเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคก้าวไกล “ซ้ำไม่ได้”กลายเป็นดาบสองคมของพรรคเพื่อไทย เพราะการโยนชื่อเศรษฐาขึ้นไปให้ สส.และสว. สแกนคุณสมบัติตั้งแต่หัวจรดเท้าจึงยังฟันธงไม่ได้ 100 % ว่า จะได้รับเสียงสนับสนุนลงมติได้เกิน 375 เสียงหรือไม่การเสนอชื่อนายเศรษฐาในวันที่ 22 สิงหาคมนี้อาจจะไม่ใช่ไคลแม็กซ์ตัวเลขสส.ในมือของ “คณะผู้เจรจา” พรรคการเมืองค่อนข้างจะ “สะเด็ดน้ำ” แล้ว แต่เสียงของสว.ยังคง “สะวิง” แม้ไม่มีความเคลื่อนไหว แต่รอ “สัญญาณพิเศษ” อะไรบางอย่างในการกำหนดทิศทางโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี“เสียงชี้ขาด” เก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนต่อไป จึงอยู่ที่ สว.250 เสียง พรรคเพื่อไทยต้องการเสียง “สว.ขั้นต่ำ” อีก 60 เสียง ถึงจะสามารถส่งนายเศรษฐาถึงประตูทำเนียบรัฐบาล-ตีนบันไดตึกไทยคู่ฟ้าได้สำเร็จ
ไส้ใน 250 สว. “เสียงแตก” เพราะมีทั้ง สว.สายพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับ สว.สายพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และยังมี สว.สายอิสระ – สว.สายธุรกิจ ซึ่งจากผลคะแนนให้นายพิธา ส่วนใหญ่จะลงมติ “งดออกเสียง” หรือ “ไม่มาลงคะแนน”“สว.สายพล.อ.ประยุทธ์” มีถึง 50-100 เสียง มีแกนหลักเป็น เตรียมทหารรุ่น 12 (ตท.12) – เพื่อนร่วมรุ่นพล.อ.ประยุทธ์ เช่น พล.อ.จิระศักดิ์ ชมประสพ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ พล.อ.ยอดยุทธ บุญญาธิการ พล.อ.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ขณะที่ “สว.สายพล.อ.ประวิตร” แม้จะมีน้อยกว่าสว.สายพล.อ.ประยุทธ์ แต่ก็มี “ตัวประสาน” อย่าง บิ๊กกี่-พล.อ.นพดล อินทปัญญา เพื่อน ตท.รุ่นที่ 6 เป็นคีย์แมนคนสำคัญ และยังเป็น “ข้อต่อ” กับพรรคเพื่อไทย ที่มี “คนแดนไกล” กดปุ่ม
เสียง สว.ที่พอจะมีลุ้นยกมือให้กับนายเศรษฐา คือ “13 สว.” ที่เคยลงมติเห็นด้วยให้นายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี แบบไม่มีเงื่อนไข หลังจากแสดงจุดยืนอยู่พรรคการเมืองที่เสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐสามารถรวมรวมเสียงข้างมากได้แต่ที่ทำให้พรรคเพื่อไทยอุ่นใจ-เชื่อมือได้ คือ 2 ส.สมศักดิ์ เทพสุทิน-สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ที่อาสามาเป็น “มือประสาน” กับ สว.ทุกสาย โดยเฉพาะ สว.สายธุรกิจและสว.สายภูธร ที่พร้อมเปิดใจพูดคุยด้วย “ภาษาเดียวกัน”
อีกเสียงที่พอจะ “แอบลุ้น” มาสบทบเป็นคะแนนให้แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย คือ 21 เสียงจากพรรคประชาธิปัตย์ ที่ “หักดิบ” กรรมการบริหารพรรคชุดรักษาการเข้าร่วมรัฐบาลอย่างไม่เป็นทางการ
รวมถึงเสียงของพรรคก้าวไกล 149 เสียง (ไม่นับเสียงของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เนื่องจากระหว่างหยุดปฏิบัติหน้าที่ และเสียงของนายนครชัย ขุนณรงค์ สส.ระยอง เขต 3 ที่ลาออก) ที่อาจจะเป็น “ตัวช่วย-พลิกเกม” ให้พรรคเพื่อไทยแน่นอนว่า สิ่งที่พรรคเพื่อไทยตอบแทนพรรคก้าวไกลโดยการ “ฉีกเอ็มโอยู” และผลักก้าวไกลไปเป็นฝ่ายค้าน ยังคงเป็น “แผลสด” ไม่สามารถลบล้างได้เพียงข้ามคืนเดียวแต่เยื้อใยของหัวหน้าพรรคก้าวไกล กับ “หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย” ตลอดจน “ผู้นำทางจิตวิญญาณ” ของทั้งสองพรรค อาจจะทำให้ 149 สส. ของพรรคก้าวไกล อาจจะต้องยอม “กลืนเลือด” เท “เสียงบางส่วน” ให้นายกรัฐมนตรีเพื่อไทยแม้เป็นการ “รักษาหลักการ” และ “ปิดสวิตซ์ สว.” แต่ตรงกันข้ามพรรคก้าวไกลก็มีต้นทุนต้องจ่าย จากการเป็นผู้สนับสนุนให้ “ระบอบ 3 ป.” ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง
ทว่าหาก “คนกำหนดเกม” บังคับทิศทางสถานการณ์ให้ไหลมา “เข้าทาง” แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี “พรรคอันดับสาม” ที่มี สส.71 เสียง เสี่ยหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย-แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี อาจจะกลายเป็น “นายกฯส้มหล่น”แต่ต้องเป็นการ “สมประโยชน์” ของทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย เพื่อประคองเสถียรภาพของ “รัฐบาลเสียงข้างมาก” และต้องเป็น “ข้อเสนอ” ที่ เสี่ยหนู-อนุทิน “ปฏิเสธไม่ได้”เพราะคาแรคเตอร์ของเสี่ยหนู-อนุทิน ไม่ชอบเป็น “สายล่อฟ้า” แต่ชอบหยิบชิ้นปลามัน-กระทรวงเกรดเอเท่านั้น การส่งไม้ต่อ-เก้าอี้ตัวใหญ่ให้พล.อ.ประวิตร เป็นทางเลือกและทางรอดเดียวพรรคภูมิใจไทย ไม่ให้ตกเป็น “เป้าใหญ่”
ปฏิเสธไม่ได้ว่า การเดินทางกลับบ้านของนายทักษิณครั้งแรกถาวรในรอบ 17 ปีหลังการรัฐประหารเมื่อปี 49 ตามคำประกาศของ “อุ๊งอิ๊งค์” ในวันที่ 22 สิงหาคมในช่วง 9 เช้า ก่อนลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีในช่วง 5 โมงเย็นวันเดียวกันเป็นการขยับหมากตาเดียวสะเทือนทั้งกระดานสภา-กระเทือนไปถึงการโหวตนายเศรษฐาเป็นนายกรัฐมนตรี ว่า นายเศรษฐาเป็นคนที่นายทักษิณใช้บริการให้เป็นนายกรัฐมนตรี “ตัวจริง” หรือ “ตัวหลอก”ยิ่งความเคลื่อนไหวของ “ไผ่ ลิกค์” สส.กำแพงเพชร พลังประชารัฐ “มือขวา” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค ออกมาประกาศ สส.40 เสียงของพรรคพร้อมใจกันเทคะแนนให้กับพรรครัฐบาลที่มีเพื่อไทยเป็นแกนนำแบบไม่มีข้อแม้ต่อรองเก้าอี้ยิ่งทำให้เคลือบแคลงสงสัยว่า “ธง” ของพรรคพลังประชารัฐอยู่ที่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเพื่อไทย หรือ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี 1 เดียวในพรรคพลังประชารัฐ
จึงไม่มีใครกล้าปิดประตูตายแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี “พรรคอันดับสี่” อย่างพรรคพลังประชารัฐ ที่มี บิ๊กป้อม-พล.อ.ประวิตร หัวหน้าพรรครอเทียบเชิญมาเป็นนายกรัฐมนตรีในสถานการณ์พิเศษสุด