ก้าวไกล-เพื่อไทย วัดกำลัง ชิง เก้าอี้ประธานสภา-นายกฯ
พระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) เรียกประชุมรัฐสภา ตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2566 เป็นต้นไป เป็นการนับ 1
พระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) เรียกประชุมรัฐสภา ตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2566 เป็นต้นไป เป็นการนับ 1 การได้มาซึ่งรัฐบาลใหม่ไล่ตามไทม์ไลน์การเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร-นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี (ครม.) ดูเหมือนจะเกิดขึ้นเร็ว แต่จบลงไม่ง่ายปักหมุดพ.ร.ฎ.เรียกประชุมรัฐสภา ตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2566 เป็นต้นไป หลังจากนั้น 10 วัน จะต้องมีการเลือกประธาน-รองประธานสภาผู้แทนราษฎรเมื่อมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ประธาน-รองประธานสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ประธานสภาผู้แทนราษฎรจะกำหนดวันเลือกนายกรัฐมนตรี คาดว่าจะเกิดขึ้นกลางเดือนกรกฎาคมหากการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งเดียวจบ จะมีการจัดตั้งครม.ราวสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนกรกฎาคม และทูลเกล้ารายชื่อครม.เพื่อทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งทันทีที่มีพระบรมราชโปรดเกล้าฯ ให้ครม.เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณตนเพื่อปฏิบัติหน้าที่ คาดว่าจะเป็นสิ้นเดือนกรกฎาคม รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะสิ้นสุดการปฏิบัติหน้าที่รักษาการ คาดว่าราวปลายเดือนกรกฎาคม-ต้นเดือนสิงหาคม
อย่างไรก็ตามนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ออกตัวว่า ไทม์ไลน์ดังกล่าว ยังมีเงื่อนไขที่ผูกกันหลายอย่าง ควบคุมไม่ได้ และไม่ควรจะไปควบคุมด้วยเป็นเงื่อนปมที่ถูกมัดเกลียว-รัดแน่นขึ้นระหว่างแกนนำ 2 พรรคใหญ่ คือ พรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทยในพรรคร่วมรัฐบาล 8 พรรคที่ขบเหลี่ยม-เชือดเฉือนกันอยู่ด้วยศักดิ์และศรีของความเป็น “พรรคอันดับหนึ่ง” กับ “พรรคอันดับสอง” ที่มีคะแนนกินกันไม่ลง-เสียงห่างกันชนิด “ลดต้นคอ” เพียง 10 เสียง พรรคก้าวไกลมี ส.ส.151 ที่นั่ง พรรคเพื่อไทยมี 141 ที่นั่ง จึงต้อง “วัดกำลัง” กันอีกหลายยกยกแรก
การลงมติเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร พรรคเพื่อไทย เปิดโครงการเสริมศักยภาพ ส.ส.และบุคลากรทางการเมือง ที่กองบัญชาการตระกูลชินวัตร-โรงแรมเอสซีปาร์คก่อนจะยกเวทีให้ “อดิศร เพียงเกษ” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ถล่มพรรคก้าวไกล ออกสื่อแบบไม่ไว้หน้าพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง“ผมไม่เห็นด้วย เรา (พรรคเพื่อไทย) 141 เสียง เขา (พรรคก้าวไกล) 151 เสียง เราจะไปยอมเขาทุกเรื่อง ทุกพรรคการเมืองที่หาเสียงเลือกตั้ง ไม่มีพรรคใดได้คะแนนเสียงเกิน 250 จึงมีศักดิ์ศรีเท่ากัน …จะมาหาวเอาเดือนเอาดาวจะง่ายเกินไป”“ถึงอย่างไร เราก็ไม่สามารถให้ประธานสภาแก้ก้าวไกลได้ เพราะคุณสูงแค่ 151 เมื่อมีข้อขัดแย้งในสภา ทำยังไงครับ เรื่องง่าย ๆ ก็โหวตในสภา ผมไม่อยากเห็นสามเณรกับพรรคบวชใหม่มาเป็นเจ้าอาวาส พรรคเพื่อไทยไม่ใช่สาขาของพรรคก้าวไกล”หากปล่อยให้ “ฟรีโหวต” ประธานสภาผู้แทนราษฎรที่ส่งในนามพรรคเพื่อไทยแข่งกับประธานสภาผู้แทนราษฎรที่พรรคก้าวไกลส่งเข้าประกวดจะกลายเป็น “ฟางเส้นสุดท้าย” ที่จะนำไปสู่การแตกคอ-แตกหักของ 8 พรรครร่วมรัฐบาลทันที8 พรรคร่วมรัฐบาล 312 เสียง จะ “เสียงแตก” ออกเป็นเสี่ยง และหากพรรคขั้วรัฐบาลเดิมที่มีเสียงรวมกัน 188 เสียง เสนอชื่อประธานสภาผู้แทนราษฎรแข่งจะชนะทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล
อย่างน้อยหากพรรคขั้วรัฐบาลเดิม 188 เสียงเล่นเกมเสี้ยม “ทอดไมตรี” ด้วยการ “เทคะแนน” ให้พรรคเพื่อไทยได้ตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรไปครอง จะนำไปสู่ความหวาดระแวง-บั่นทอนความไว้วางใจระหว่าง 8 พรรคร่วมรัฐบาลยกที่สอง การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เพื่อไทยคงไม่ “ฉีกเอ็มโอยู” จนถูกตราหน้า “หักหลัง” พรรคก้าวไกล แต่จะรอเวลาให้สถานการณ์เข้าทาง กระทั่งทางเดินของ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 สู่ทำเนียบรัฐบาล “แคบลง”ท้ายที่สุดเดินไปสู่ “ทางตัน” เพราะลงมติกี่ครั้งก็ได้ไม่ถึง 376 เสียงเมื่อสุญญากาศการจัดตั้งรัฐบาลเข้าขั้นวิกฤต กระทบชิ่งไปถึงเกิดความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ นักลงทุนเกิดความไม่เชื่อมั่นทางการเมือง งบประมาณ-โครงการใหม่ไม่สามารถอนุมัติได้
พรรคเพื่อไทยจะใช้เป็นเงื่อนไข “สลัด” ก้าวไกล – อดีตพรรคร่วมฝ่ายค้าน ที่เคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมรบกันกับเผด็จการผู้นำ 3 ป. นำไปสู่การ “พลิกสถานการณ์” จัดตั้ง “รัฐบาลข้ามขั้ว”
ส่วนจะให้แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ที่มีถึง 3 คน ได้แก่ “เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน – “อุ๊งอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร – ชัยเกษม นิติสิริ เป็นนายกรัฐมนตรีหรือยอม “ยกเก้าอี้” นายกรัฐมนตรีให้ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรพลังประชารัฐ ที่กุมเสียง ส.ว.250 คน ต้องเป็น “ข้อเสนอ” ที่พรรคเพื่อไทย-คนแดนไกล (อยากกลับบ้าน) ปฏิเสธไม่ได้ทว่าเป็นหมากอันตราย-เกมเสี่ยงนำไปสู่การเดินลงบนท้องถนน จนเกิดวิกฤตทางการเมืองครั้งใหญ่ที่สุดบนหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย
กว่าจะเดินมาถึง “ยกสุดท้าย” ยกที่สามการฟอร์มคณะรัฐมนตรี การแบ่งเค้กเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงเกรด A – กระทรวงเกรด A++ คงถูกรื้อ-ล้างไพ่ใหม่ เมื่อข้อตกลง-ข้อต่อรองไม่อยู่บนโต๊ะเจรจา เป็นการดีลลับใต้ดิน-บนเส้นเขตแดนนอกประเทศพรรคก้าวไกล-ไทยสร้างไทย-ประชาชาติ-เป็นธรรม จะเป็นเป็นพรรคฝ่ายค้าน พรรคขั้วรัฐบาลเดิมจะกลายเป็น “รัฐบาลข้ามขั้ว” เป็นการผสมกันข้ามสายพันธุ์ ระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรค 2 ป. ภายใต้เงื่อนไขเดียว คือ “ผลประโยชน์ลงตัว”
ทั้งหมดทั้งมวล หากพรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทยตกลงกันได้ win-win ทั้งสองฝ่าย 14 เก้าอี้รัฐมนตรี กับ 1 ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ กับ 14 เก้าอี้รัฐมนตรี กับ 1 ประมุขฝ่ายบริหาร
พรรคก้าวไกล-เพื่อไทยกับพวก 8 พรรคฝ่ายที่เรียกตัวเองว่าฝ่ายประชาธิปไตยจะอึด-อด-ทนรออย่างหนักแน่น อย่างช้าที่สุดจะจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้สำเร็จในเดือนพฤษภาคม 2567 เพราะ ส.ว.ที่มาจากการแต่งตั้งของพล.อ.ประยุทธ์ “ครบวาระ”