สมคิด – สี่กุมาร รีเทิร์น พลังประชารัฐ คั่วเก้าอี้รัฐมนตรี
วาทะกรรม ก้าวข้ามความขัดแย้ง ของ “บิ๊กป้อม” เปลี่ยน “ศัตรู” ให้กลับกลายมาเป็น “มิตร”
บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ใช้เวลาข้ามคืนเดียว “ปิดดีล” พรรคสี่กุมาร – สร้างอนาคตไทย ที่มีอดีตผู้ก่อตั้งนั่งร้านพรรคทหาร นายอุตตม สาวนายน หัวหน้า – นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค
โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ประธานพรรคสร้างอนาคตไทย เป็นที่ปรึกษาทางใจ
ก่อนหน้าการก่อตั้งพรรคสร้างอนาคตไทย นายสมคิด-นายอุตตมและนายสนธิรัตน์ เปิดดีลอย่างลับ ๆ ในโรงแรมย่านราชดำริ อย่างน้อย 3 พรรค กับพรรคกล้า พรรคชาติพัฒนากล้า และพรรคไทยสร้างไทย
ตลอดระยะเวลาเกือบ 3 เดือน ของการเปิดโต๊ะเจรจากับพรรคการเมืองใหม่ – พรรคการเมืองรีแบรนดิ้งไม่สามารถหาข้อยุติได้ คือ ตำแหน่งผู้บริหารในพรรคเกิดใหม่ ทั้งตำแหน่งหัวหน้าพรรค-เลขาธิการพรรค และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
แม้แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจะมีได้ถึง 3 รายชื่อ แต่ถกเถียงกันไม่ลงตัวว่า ใครจะเป็นเบอร์ 1 – เบอร์ 2
“ฟางเส้นสุดท้าย” ที่ทำให้นายอุตตม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายสนธิรัตน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ตัดสินใจ “รีเทิร์น” พรรคพลังประชารัฐ คือ ตำแหน่งทางการเมืองในรัฐบาลหน้า
ไม่นับเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ อาจจะได้เห็น เฮียกวง – สมคิด คัมแบ๊กทำเนียบรัฐบาลคุมหัวรถจักรเศรษฐกิจอีกครั้ง
ปฏิเสธไม่ได้ว่า นายสมคิดและกลุ่มสี่กุมารถูกตะเพิดออกจากพรรคพลังประชารัฐชนิดที่เรียกได้ว่า หมดโอกาสกลับไปเหยียบที่ทำการพรรคอีกครั้ง หลังจากถูกสายแข็งบ้านป่ารอยต่อ สมคบคิดกับกลุ่มสามมิตร-เด็กดื้อยึดอำนาจเบ็ดเสร็จ
โดยมี “ไพบูลย์ นิติตะวัน” รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ สายตรงบ้านป่ารอยต่อ รับหน้าที่รวบรวมรายชื่อกรรมการบริหารพรรค ล้างไพ่กรรมการบริหารพรรคชุดเก่า-รวบอำนาจมาไว้ที่พล.อ.ประวิตรในฐานะหัวหน้าพรรคคนใหม่
หลังจากนั้นนายอุตตมและนายสนธิรัตน์ไม่มีตำแหน่งหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐแล้วก็กดดันพล.อ.ประยุทธ์เพื่อปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถอดนายสมคิดและกลุ่มสี่กุมารออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี
ทุกเวทีปราศรัยของนายสมคิดในฐานะประธานพรรคสร้างอนาคตไทยจึงออกมาแฉเบื้องหลังการปลดทีมสี่กุมารออกจากพรรคพลังประชารัฐและตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์
นายสมคิดยังวิพากษ์วิจารณ์การบริหารประเทศของพล.อ.ประยุทธ์และการบริหารพรรคการเมืองของพล.อ.ประวิตรอย่างดุเดือด-เผ็ดร้อน
รวมถึง “ลูกทีสมคิด” ที่ลาออกจากพรรคพลังประชารัฐและไปสมทบกับพรรคสร้างอนาคตไทย อย่างนายสันติ กีระนันทน์ และนายวิเชียร ชวลิต ก็ทิ้งระเบิด-เผาพรรคพลังประชารัฐทิ้งทวน
ทว่าวันนี้กลับตาลปัตร นายสมคิดและกลุ่มสี่กุมารลืมเรื่องบาดหมางในอดีตและกลืนเลือดตัวเองกลับเข้าพรรคพลังประชารัฐ โดยที่ยอมดับจิตวิญญาณที่ก่อไฟความหวังไว้ที่พรรคสร้างอนาคตไทยและทิ้งเพื่อนร่วมอุดมการณ์ไว้ข้างหลัง
มิน้ำซ้ำยังต้องมาร่วมงานกับ “คนเคยรัก” ในพรรคพลังประชารัฐที่เคยทิ่มแทงทั้งต่อหน้าและลับหลัง ทั้งนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ และนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์
โดยพล.อ.ประวิตรจะเปิดตัวนายอุตตมและนายสนธิรัตน์กลับเข้าพรรคพลังประชารัฐในวันที่ 30 ม.ค.นี้
ก่อนหน้านายอุตตมและนายสนธิรัตน์ “นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ” อดีตรองหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทยก็มากรุยทางไว้ในพรรคพลังประชารัฐก่อนหน้านี้
โดยเป็นการกลับมารวมตัวกับนายอุตตมและนายสนธิรัตน์ในพรรคพลังประชารัฐ ร่วมกับนายวัชระ ยาวอหะซัน ส.ส.นราธิวาส พรรคพลังประชารัฐ ที่ก่อนหน้านี้แสดงเจตจำนงเป็นผู้สมัคร ส.ส.ในนามพรรคสร้างอนาคตไทย
เป็นการเข้ามาปิดจุดอ่อนในพื้นที่ภาคใต้ของพรรคพลังประชารัฐ หลังจากไม่มี พล.อ.ประยุทธ์เป็นจุดขาย และมี ส.ส.ภาคใต้เลือดไหลออกไปอยู่กับพรรครวมไทยสร้างชาติ
นอกจากพรรคสร้างอนาคตไทยที่ต้อง “เลิกกิจการ” ยังมีลูกน้องเก่า-เพื่อนรัก ที่ยอมทิ้งพรรค-ปิดกิจการกลับมาอยู่กับพล.อ.ประวิตรในพรรคพลังประชารัฐ
พรรคโอกาสไทยของ “มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์” ที่เปิดตัวสมัครสมาชิกพรรคพลังประชารัฐและประกาศตัวเป็น “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” และ “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี”
แต่วันนี้นายมิ่งขวัญมีเพียงสถานะเดียวในพลังประชารัฐ คือ สมาชิกพรรค
พรรคเศรษฐกิจไทย “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” อดีตเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐกับพวกที่ขนข้าวของไปก่อสร้างบ้านหลังใหม่ ต้องคุกเข่าขอขมาต่อหน้าพล.อ.ประวิตร-ลูกพี่เก่า ขอกลับบ้านหลังเก่า และจะมาเป็นขุมพลคุมภาคเหนือศึกเลือกตั้ง
พรรครวมแผ่นดิน ของ บิ๊กน้อย พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ที่กลับมาช่วยเพื่อนเตรียมทหารรุ่น 6 (ตท.6) เพื่อสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้า โดยจะมาเป็นประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค
รวมถึง “สกลธี ภัททิยกุล” ที่ลาออกจากสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เพื่อไปลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในนามอิสระ กลับมารอบนี้ได้รับภารกิจสำคัญให้คุมการเลือกตั้งกทม.
ในการเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐล่าสุด นายสกลธีได้รับการเลือกจากที่ประชุมใหญ่พรรคให้เป็นกรรมการบริหารพรรค
ก่อนหน้านี้ หลังนายสกลธีแพ้เลือกตั้งผู้ว่ากทม.มีกระแสข่าวว่าจะร่วมกับแกนนำอดีต กปปส. ตั้งพรรคการเมืองของตัวเอง แต่สุดท้ายก็กลับมากิน “น้ำพริกถ้วยเก่า”
ขณะที่คนที่คิดจะตีจากไปอยู่พรรคเก่าแก่ คือ นายศิริพงศ์ รัศมี ส.ส.กทม. อดีตสมาชิกกลุ่มดาวฤกษ์ ไม่ย้ายตาม “มาดามเดียร์” วทันยา บุนนาค ไปพรรคประชาธิปัตย์
นักการเมืองนกรู้-จมูกไว มองการเมืองหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า ว่า พลังประชารัฐสามารถจับมือกับทุกพรรคการเมือง โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยได้แล้ว พรรคประชาธิปัตย์จะถูกผลักไปเป็นฝ่ายค้าน
เมื่อพรรคพลังประชารัฐ ก้าวข้ามความขัดแย้ง จับมือได้กับพรรคการเมืองทุกขั้ว การันตีความเป็นรัฐบาล ปรากฎการณ์ “ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร” บนเงื่อนไขผลประโยชน์ทางการเมืองย่อมลงตัว
หลังเลือกตั้งหากพรรคพลังประชารัฐได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล หรือ จับผลัดจับผลู “ฟ้าลิขิต” ให้พล.อ.ประวิตรได้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี คนที่ 30 คงต้องวัดบารมีอีกครั้งว่าจะจัดสรรกระทรวงเกรดเอ-เก้าอี้รัฐบาลทั้งในพรรคและนอกพรรค
สมคิด-อุตตมและสนธิรัตน์ การันตีเก้าอี้รัฐมนตรีในรัฐบาลใหม่