ผ่าแนวโน้มการท่องเที่ยวไทย รอดหรือไม่ในปี 2566

เริ่มต้นศักราชใหม่ 2566 หลายคนฝากความหวังไว้กับ “การท่องเที่ยว” จะเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ หลังจากวิถีของคนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตจนเกือบจะใกล้เคียงกับปกติ ภายใต้โลกที่ต้องอยู่ร่วมกับไวรัสโควิด-19 ไปตราบชั่วฟ้าดินสลาย

ภายในสัปดาห์นี้ในด้านการขับเคลื่อนนโยบายการท่องเที่ยวจะมีการประชุมนัดสำคัญของ 3 หน่วยงาน นั่นคือ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม และกระทรวงสาธารณสุข เพื่อร่วมกันทำแผนการผลักดันการท่องเที่ยวตลอดทั้งปีใหม่เป็นไปตามเป้าหมาย โดยมี “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นั่งเป็นประธานหัวโต๊ะ
ความสำคัญของการประชุมวงนี้ มีเรื่องที่ต้องคิดตามหลายเรื่องโดยเฉพาะแผนการประคับประคองการท่องเที่ยวให้อยู่รอดไปได้ตลอดทั้งปี โดยกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ตั้งเป้าหมายการท่องเที่ยวในปี 2566 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางประมาณ 20 ล้านคน สร้างรายได้ 2.38 ล้านล้านบาท หรือฟื้นกลับมาใกล้เคียงช่วงปกติ 80%
ข่าวดี จีนเปิดประเทศ 8 ม.ค.66

ปัจจัยบวกตัวแรกของปีที่น่าจะส่งผลต่อภาพรวมของการท่องเที่ยว หลังจากทางการจีนเตรีมผ่อนคลายมาตรการเข้าประเทศลงจากเดิมที่คุมเข้มแบบสุด ๆ โดยจะเปิดประเทศตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค. 2566 เป็นต้นไป โดยยกเลิกการกักตัวทั้งหมด
แต่อย่างไรก็ดีในช่วงแรกนั้น การเดินทางไปจีนหรือนักท่องเท่ยวจีนที่จะออกนอกประเทศก็ยังไม่ได้ถึงกับสะดวก 100% นัก เพราะจีนยังกำหนดมาตรการเข้าประเทศ คือ 1.กำหนดให้มีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR ก่อนขึ้นเครื่อง 48 ชั่วโมง 2.ยกเลิกนโยบายการบิน 5:1 ทั้งหมด แต่ต้องสวมหน้ากากบนเครื่องตลอดเวลา 3.อนุญาตให้คนที่เดินทางไปทำงาน ธุรกิจ เรียน เยี่ยมญาติ และอื่นๆ เดินทางเข้าจีนได้ 4.จะอนุญาตให้เดินทางเข้าจีนทางบกและทางเรือต่อไป และเตรียมอนุญาตให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางออกนอกประเทศได้
ททท.คาดไตรมาสแรกท่องเที่ยวคึกคัก
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ยอมรับว่าปัจจัยเรื่องจีนเปิดประเทศสร้างความหวังให้กับการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวทั้งปีให้เป้นไปตามเป้าหมายมากที่สุด หลังจากในช่วงปี 2565 การท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัวดีต่อเนื่อง และมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทะลุเป้าหมาย 10 ล้านคนไปเกือบ ๆ แตะ 12 ล้านคนได้เป้นที่เรียบร้อย โดยปีนี้ น่าจะทำให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามาในประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 5 ล้านคนแน่นอน

“ยุทธศักดิ์ สุภสร” ผู้ว่าการ ททท. ระบุว่า หากเป็นไปตามที่ประเมินภายในไตรมาส 1 ปี 2566 เมื่อจีนเปิดประเทศ ททท.จะเสนอให้รัฐบาลต่ออายุมาตรการขยายเวลาพำนักในประเทศไทยสำหรับชาวต่างชาติ 3 กลุ่มที่เดินทางเข้าประเทศไทย ให้สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566 เพื่อดึงนักท่องเที่ยวชาวจีนและชาติอื่น ๆ เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น โดยนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เดินทางเข้ามาก็มีอัตราการใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง
ทั้งนี้จากการประเมินเบื้องต้น คาดว่า ในช่วงไตรมาสแรก ไทยอาจมีโอกาสได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวจีน ที่จะเดินทางเข้ามาเที่ยวไทยประมาณ 300,000 คน ถือเป็นตัวเลขที่สูงลบสถิติทั้งปี 2565 เพราะถ้าเปรียบเทียบกับจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้าไทยทั้งปีในปี 2565 มีจำนวนประมาณ 274,000 คนเท่านั้น
ส่วนมากน่าจะเริ่มออกเดินทางหลังวันที่ 15 ม.ค. 2565 ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มีท่เดินทางมาเองไม่ใช้คณะทัวร์ และด้วยข้อจำกัดของเที่ยวบินระหว่างกัน และจะมีจำนวนหนึ่งที่เดินทางเข้ามาผ่านด้านทางบก เช่น เชียงแสน และหนองคาย โดยจะเดินทางมากับรถไฟความเร็วสูงจีน-สปป.ลาว
เตรียมคนพร้อมรับต่างชาติ

ในการเตรียมความพร้อมคลื่นมหาชนจีนที่จะกลับมาเยือนไทยอีกครั้ง ที่ผ่านมา “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ยอมรับว่า ช็อตต่อไปต้องเตรียมความพร้อมในการรับนักท่องเที่ยวที่จำนวนเพิ่มมากขึ้น โดยเน้นมาตรการป้องกันตัวเอง โดยจะแนะนำให้บุคคลากรที่เกี่ยวข้องไปรับวัคซีนเข็มกระตุ้น และนำมาตรการ SHA กลับมาใช้อย่างเข้มข้น รวมทั้งเตรียมความพร้อมจำนวนเที่ยวบิน มัคคุเทศก์ ให้เพียงพอกับจำนวนความต้องการเดินทางที่เพิ่มมากขึ้นด้วย
“กระทรวงการท่องเที่ยวฯ จะหารือร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขด้วยว่ามีวัคซีนเหลือมากน้อยแค่ไหน เพราะจะขอให้เร่งนำวัคซีนส่วนที่เหลือมาเร่งฉีดเข็มกระตุ้นแก่คนไทยที่เป็นพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องและใกล้ชิดนักท่องเที่ยว พร้อมเร่งประชาสัมพันธ์ให้กลุ่มพนักงานด้านท่องเที่ยวออกมาฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นกันถ้วนหน้า และขอความร่วมมือให้พนักงานฯยังสวมใส่หน้ากากอนามัยอย่างต่อเนื่อง” รมว.การท่องเที่ยวฯ ระบุ
เตรียมเก็บค่าเหยียบแผ่นดิน

อีกเรื่องที่น่าจะเกิดขึ้นในปีนี้สำหรับการเดินทางเข้าประเทศของนักท่องเที่ยวต่างชาติ นั่นคือการเตรียมเก็บ “ค่าเหยียบแผ่นดิน” หรือ การจัดเก็บค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวประเทศไทยจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งทำกันเป็นสากลเกือบทุกประเทศ ซึ่งเลื่อนการเก็บมาหลายรอบ โดยเฉพาะการเริ่มต้นที่เก้บจากคนเดินทางมาทางเครื่องบิน แต่ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรี ขอให้ไปศึกษาการเก็บเพิ่มเติมให้ครอบคลุมทางบกและทางน้ำด้วยนั้น
เบื้องต้นกระทรวงการท่องเที่ยวฯ มองไทม์ไลน์เอาไว้ว่า จะเสนอให้ คณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ (ท.ท.ช.) วันที่ 24 ม.ค. 2566 เคาะผลสรุปการศึกษาการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวฯทางบก หลังต้องไปศึกษาเพิ่มเติมเพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวเดินทางข้ามชายแดน
หากไม่มีอะไรผิดพลาด และได้รับการเห็นชอบจากบอร์ด ท.ท.ช. แล้วขั้นตอนต่อไปก็ต้องรวบรวมข้อมูลรายละเอียดตามมติทั้งหมดเสนอไปยังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไฟเขียวเป้นขั้นตอนสุดท้าย ภายในเดือนก.พ. 2566 โดยหวังว่า จะเริ่มบังคับใช้ได้ตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2566 เป็นต้นไป
เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5 ดันคนไทยเที่ยว

ทิ้งท้ายที่การท่องเที่ยวภายในประเทศ ยังต้องรอลุ้นมาตรการรัฐว่าจะผ่านการเห็นชอบออกมาหรือไม่ นั่นคือ “เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5” หลังจากนายกฯ ขอให้กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ททท. ไปหารือกับสำนักงบประมาณ เพื่อหาข้อสรุปโครงการให้อยุ๋ภายใต้งบจำกัดแค่ 4,000 ล้านบาท จึงต้องมาลุ้นว่า โครงการมหาชนนี้จะสามารถผ่านออกมาได้หรือไม่ เพื่อจะได้เป็นหนึ่งในแรงกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยว และเพิ่มค่าใช้จ่ายจากการท่องเที่ยวภายในประเทศมากขึ้น

ล่าสุดได้รับการยืนยันมาว่า โครงการนี้จะนำเสนอเข้ามาในที่ประชุมครม. อย่างเร็วที่สุดคือ วันที่ 3 ม.ค. 2566 นี้ โดยอาจปรับลดจำนวนห้องพักลงเหลือไม่เกิน 5 แสนห้อง/คืน พร้อมคูปองอาหาร แต่ไม่รวมค่าเดินทางด้วยเครื่องบิน กำหนดระยะเวลาเอาไว้ตั้งแต่เดือนม.ค. – ก.ย. 2566 ส่วนจะเป็นไปตามนี้ทั้งหมดหรือไม่ รอลุ้นกันอีกที