สัมผัสท่องเที่ยวบำบัดจิตใจ “อาบป่า” พาชมธรรมชาติเติมพลังชีวิต

โลกปัจจุบันกำลังถูถาโถมด้วยปัญหาเศรษฐกิจ ค่าครองชีพในแต่ละวันสูงลิ่ว จนทำให้หลายคนเกิดความเครียดจนเป็นไมเกรน หากใครตกอยู่ในภาวะอย่างนี้ ขอให้ลองหาอะไรคลายเครียด บำบัดจิตใจ หรือถ้าคิดไม่ออกเราขอแนะนำวิธีที่ผ่อนคลาย แถมยังได้พักผ่อนท่องเที่ยวเก็บประสบการณ์ ซึ่งปัจจุบันนี้มีการท่องเที่ยวอีกรูปแบบหนึ่งที่น่าสนใจ นั่นคือ การท่องเที่ยวเชิงจิตวิญญาณเสริมพลังชีวิต (Power Spot Travel)
การท่องเที่ยวเชิงจิตวิญญาณเสริมพลังชีวิต นับเป็นการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ที่หลายคนอาจยังไม่เคยได้สัมผัส แต่ว่ามีอยู่ในหลายพื้นที่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของไทย ตั้งแต่เส้นทางฟื้นฟูจิตวิญญาณ จากความศรัทธา ความเชื่อ การอาบป่า ที่สัมผัสธรรมชาติอย่างแท้จริง รวมไปถึงมหาสมุทรบำบัด มาช่วยเยียวยาอารมณ์และจิตใจ เป็นประสบการณ์ใหม่ เพื่อฟื้นฟู เติมเต็ม และเสริมสร้างพลังชีวิตให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
ที่ผ่านมา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้หาทางส่งเสริมพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวโดยเน้นการท่องเที่ยวเพื่อเสริมพลังชีวิตและสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อเสริมพลังด้านบวกทั้งทางร่างกายและจิตใจ (Body & Mind) เป็นโครงการการท่องเที่ยวความสนใจพิเศษทั่วประเทศ โดยเราขอพาไปทำความรู้จักกัน ดังต่อไปนี้
การท่องเที่ยวเชิงบำบัดด้วยการ “อาบป่า”

หลายคงยังไม่เคยไปสัมผัสกับการท่องเที่ยวแบบสัมผัสธรรมชาติใกล้ชิดอย่าง “การอาบป่า” (Forest Bathing) เป็นศาสตร์บำบัดจากญี่ปุ่นที่เรียกว่า Shinrin Yoku ที่ใช้การสัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิดเพื่อผ่อนคลายร่างกายและจิตใจที่เหนื่อยล้า ศาสตร์นี้เป็นที่รู้จักของชาวญี่ปุ่นมาตั้งแต่ปี 1982 กระทั่งปี 2002 จึงมีการก่อตั้งสมาคมป่าบำบัดขึ้น เพื่อวิจัยผลกระทบของสิ่งแวดล้อมในป่าที่ส่งผลต่อสุขภาพของคนเรา
การอาบป่าเหมาะสำหรับเหล่าคนเมืองที่มีวิถีชีวิตรีบเร่ง อยู่กับความวุ่นวายรอบตัว รวมถึงผู้ที่เผชิญกับความเครียด การเข้าป่าเพื่อซึมซับธรรมชาติผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 คือ รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส ด้วยใจที่นิ่งสงบและมีสมาธิ สามารถเชื่อมโยงตัวเราเข้าเป็นส่วนหนึ่งกับธรรมชาติ จึงต่างกับการเดินป่าที่ต้องการสำรวจสิ่งรอบตัวระหว่างทาง
ที่สำคัญ “การอาบป่า” ใช้พื้นที่ไม่เยอะและไม่ได้มีจุดหมายปลายทางเหมือนการเดินป่า เพราะแค่เดินเข้าป่ามีสติกับการย่างก้าว และรู้สึกว่าได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติแล้ว จิตใจที่เริ่มนิ่งและบรรยากาศที่สงบรอบตัว เราจะเริ่มได้ยินเสียงนกร้อง เสียงน้ำไหล เสียงลมพัด ได้สูดความหอมของดอกไม้ ได้กลิ่นดินกลิ่นฝน ให้ปล่อยกายใจเป็นอิสระในการได้สัมผัสกับธรรมชาติ ณ ป่าแห่งนั้น ถอดรองเท้าแล้วลองเดินลงไปในลำธาร ความรู้สึกของเท้าที่เหยียบบนก้อนกรวด น้ำเย็นที่เราจุ่มเท้าลงไป มือแตะตะไคร่น้ำบนโขดหิน

เรียกได้ว่า เป็นการเปิดให้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 น่นคือ ตา จมูก หู กาย และปาก ลูบไล้ด้วยแหล่งพื้นที่ธรรมชาติ ไม่ว่าจะจากน้ำมันหอมระเหยจากเปลือกไม้ (ไฟทอนไซด์) แบคทีเรียที่อยู่ในดิน (ไมโครไบโอม) หรือโมเลกุลออกซิเจนที่อยู่ในกระแสน้ำตก (ประจุลบ) โดยเชื่อว่าการอาบป่าเพียงไม่กี่ชั่วโมงจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายและระบบเลือดดีขึ้น อีกทั้งยังสร้างสมดุลให้แก่ร่างกายอีกด้วย
สำหรับศาสตร์นี้ได้รับการทดลองและวิจัยในญี่ปุ่น พบว่า ช่วยฟื้นฟูกลไกของร่างกาย ช่วยลดความเครียด บรรเทาอาการซึมเศร้า แล้วยังช่วยให้มีความคิดสร้างสรรค์ เป็นการส่งเสริมสุขภาพกายและสุขภาพจิตในคราวเดียวกัน ที่สำคัญการได้สูดออกซิเจนจากธรรมชาติให้เต็มปอด ยังช่วยเพิ่มภูมิต้านทานและเพิ่ม NK Cells ที่ช่วยรักษาโรคมะเร็งได้
นอกจากนี้ ความรื่นรมย์ที่ได้จากความงามตามธรรมชาติของผืนป่า ก็ทำให้เราได้ตระหนักถึงคุณค่าของป่ามากขึ้น และเพื่อให้เรายังมีป่าไว้ให้อาบ ก็ต้องช่วยกันใส่ใจดูแลพื้นที่สีเขียวให้มากขึ้นด้วย
อาบป่าเสริมพลังได้ใกล้กรุงที่กาญจนบุรี

สำหรับผู้ที่ต้องการไปเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวที่สามารถไปอาบป่าได้ ปัจจุบันมีหลายแห่ง เช่น อุทยานแห่งชาติเขาหลวง จ.นครศรีธรรมราช น้ำตกกรองแก้ว–น้ำตกเหวสุวัต จ.นครนายก ป่าฮาลา-บาลา จ.นราธิวาส โดยสถานที่แนะนำจุดหนึ่งที่ใกล้ ๆ กรุงเทพฯ นั่นคือ การไปอาบป่าจังหวัดกาญจนบุรี ทั้ง ป่าชุมชนลุ่มสุ่ม ป่าชุมชนห้วยสะพาน เดอะ เลกาซี ริเวอร์แคว รีสอร์ต บ้านไร่ใจแก้ว และบ้านกลางทุ่ง สถานที่ที่จะพาเราเดินเข้าไปสัมผัสธรรมชาติในผืนป่า หรือพื้นที่สวนป่าของชุมชน
โดยการเดินทางไปยังจุดอาบป่าที่กาญจนบุรีนี้จะมีผู้นำการอาบป่าที่ผ่านการอบรมจาก ททท. คอยให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด ให้เข้าใจถึงวิธีการอาบป่า หรือการรับรู้บรรยากาศป่าผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 รับการรับรองว่าเห็นผลได้ดีแม้ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมง ส่งผลโดยตรงกับอารมณ์ คุณภาพในการนอนหลับ ช่วยให้เกิดสมาธิได้ดีขึ้น
รวมทั้งการเดินทางไปอาบป่า ณ จุดนี้ ยังช่วยลดฮอร์โมนความเครียด อารมณ์ซึมเศร้า ลดความดันโลหิต และช่วยทำให้อัตราการเต้นของหัวใจลดลง อีกทั้งร่างกายยังจะได้รับสารเคมีดี ที่ปล่อยมาจากต้นไม้ในป่า ช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน และเยียวยาให้สุขภาพของผู้อาบป่าให้ดีขึ้นด้วย
รับพลังบวกอากาศบริสุทธิ์ผาเก็บตะวัน

อีกจุดหนึ่งที่อยากแนะนำให้เดินทางไปเสริมพลังเหมือนการอาบป่า แนะนำให้ไป “ผาเก็บตะวัน” จังหวัดนครราชสีมา คือ จุดชมทะเลหมอกยามเช้า และชมวิวดวงอาทิตย์ตกยามเย็นที่ขึ้นชื่อในเรื่องความงามของอุทยานแห่งชาติทับลาน อำเภอวังน้ำเขียว แหล่งกำเนิดของแม่น้ำลำธารต่าง ๆ เต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ทั้งหุบผา หน้าผา น้ำตก
โดยผาเก็บตะวัน นับเป็นหนึ่งแลนด์มาร์คในวังน้ำเขียวที่ไม่ควรพลาด เพราะเป็นจุดชมวิวที่สวยงามแห่งหนึ่งของอุทยานแห่งชาติทับลาน สามารถชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าในยามเย็น นอกจากนี้หากใสช่วงฤดูฝนเราก็อาจได้มีโอกาส พบเห็นสาย หมอกในยามเช้าอีกด้วย ผาเก็บตะวัน มีกิจกรรมปลูกป่ากันด้วยการยิงเมล็ดพันธุ์พืช ด้วยหนังสติ๊ก เมล็ดพันธุ์พืช มีทั้งเมล็ดมะค่าโมง และเมล็ดลาน หรือ “ลูกลาน” เมื่อยิงกระสุนเหล่านี้เข้าไปตกในป่าก็จะงอกงามเติบโตขึ้นมาเป็นต้นไม้ใหญ่ต่อไป
ที่สำคัญที่นี่ยังได้ชื่อว่ามีป่าลานผืนสุดท้ายที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดของไทย ใครที่อยากเดินทางมาอาบป่า ชมวิวสวยที่ผาเก็บตะวัน สามารถขับรถขึ้นมาถึงจุดชมวิวที่เป็นทุ่งโล่งกว้างติดผาได้สบาย ๆ โดยไม่ต้องเดินเท้าไกล ๆ เหมาะสำหรับคนเมืองเวลาน้อยที่อยากเห็นวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยงามจับใจ

ทั้งนี้ผู้ที่เดินทางไปที่นี่สามารถใช้เวลาดื่มด่ำธรรมชาติในช่วงสั้น ๆ ส่วนใครที่อยากใช้เวลาซึมซับธรรมชาติ รีชาร์จพลังชีวิตสูดรับอากาศบริสุทธิ์ของวังน้ำเขียว แหล่งอากาศบริสุทธิ์อันดับต้น ๆ ของประเทศ ที่แบบสูดหายใจได้สดชื่อเต็มปอด นับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจที่หลายคนต้องลองไปเพิ่มพลังให้กับชีวิต และจิตใจตัวเองดูสักครั้ง
ขอขอบคุณรูปภาพประกอบข่าวจาก : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)