4 แผน 4 บริษัทประกันรับวัยเกษียณฯ
หากเหลือเวลาไม่มากนัก คุณจะวางแผนรับมือกับวัยเกษียณฯได้อย่างไร? รู้หรือไม่…ประกันชีวิตและการลงทุนนั้น
วันนี้ได้กลายเป็นเรื่องเดียวกันไปแล้ว และ AEC10NEWS หาข้อมูลสำหรับคนในวัย 50 ปี หรือต่ำกว่านั้น เพื่อที่คนกลุ่มนี้ ได้มีความคิดสร้างหลักประกันควบรวมกันวางแผนลงทุน ผ่านที่ปรึกษาฯมืออาชีพกับ 4 บริษัทประกันชั้นนำ สละเวลาอ่านรายงานพิเศษชิ้นนี้สักนิด…
ถ้าคุณคือคนวัยทำงานที่เหลือเวลาไม่มากนักกับชีวิตก่อนวัยเกษียณฯ และกำลังมองหาหลักประกันความมั่นคงผ่านระบบประกันชีวิต ควบคู่กับการสร้างหลักประกันรายได้จากการลงทุน โดยมีโจทย์ใกล้เคียงกับคนส่วนใหญ่ของประเทศนี้ นั่นคือ…
มีรายได้ต่อเดือน 20,000 บาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 30,000 บาท สามารถเจียดเงินให้กับบริษัทประกันชีวิต ระหว่าง 2,500 – 3,000 บาทต่อเดือน ซึ่งนั่นหมายความว่า…คุณได้จ่ายวงเงินเพื่อซื้อระบบประกันชีวิต ควบคู่ไปการลงทุน ราวปีละ 30,000 – 36,000 บาท
ตัวเลขนี้ อาจดูว่าค่อนข้างน้อยในสายตาของบริษัทประกันชีวิต หรือตัวแทนนายหน้าบริษัทประกันชีวิต แต่สำหรับคุณและคนที่มีรายได้ประมาณนี้แล้ว ถือว่าเงินก้อนนี้ ไม่ได้น้อยเลย กระนั้น ก็อยู่ในวิสัยที่พอจะแบ่งจ่ายได้ให้กับบริษัทประกันชีวิต เพื่อสร้างหลักประกันและลงทุนคู่ขนานกันไปได้
ที่นี้ลองไปดูสิว่า…ภายในงาน SET in the City 2018 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15 – 18 พฤศจิกายน 2561 ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน นี้ จะมีผลิตภัณฑ์ประกันภัยของบริษัทประกันชีวิตชั้นนำแนวของไทยอะไรบ้าง? ที่สามารถจะตอบโจทย์ความต้องการนี้…ได้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด
เริ่มกันที่ บริษัท เอไอเอ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ประกาศตัวมาก่อนหน้านี้ ว่า…พวกเขาจะนำผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุน หรือ “ยูนิต ลิงค์” (Unit Linked) ที่พวกเขา “ขึ้นแท่น” เป็นผู้นำในกลุ่มผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ โดยนำรูปแบบผลิตภัณฑ์เลือกหลากหลาย ตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้า พร้อมขน “ผู้เชี่ยวชาญ” ที่สามารถให้คำแนะนำด้านผลิตภัณฑ์และการลงทุน ซึ่งมีจำนวนมากที่สุดในประเทศไทย มากันเพียบภายในงานนี้
ทั้งนี้ เพื่อช่วยสนับสนุนให้คนไทยมีความคุ้มครองที่เพียงพอ และเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับนักลงทุนรุ่นใหม่ ที่ต้องการรับผลตอบแทนที่คุ้มค่า ด้วยโอกาสรับผลตอบแทนที่มากกว่าจากการลงทุนในกองทุนคุณภาพที่เอไอเอคัดสรรมาแล้วอย่างดี ตลอดจนเป็นตัวช่วยให้การบริหารสินทรัพย์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
มาดูกันต่อกับ บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต เจ้าของสโลแกน “… ของคนหัวคิดทันสมัย” จากโจทย์ข้างต้น “เมืองไทยประกันชีวิต” เสนอแผนที่เรียกว่า “เมืองไทย ยูนิเวอร์แซลไลฟ์” (UL) ให้แก่คนกลุ่มนี้ เริ่มต้นแบบที่ปลอดภัยที่สุด กับการลงทุนขั้นต่ำ 3,000 บาทต่อเดือน หรือ 36,000 บาทต่อปี ด้วยวงเงินความคุ้มครองตลอด 10 ปี ที่ 300,000 บาท (กรณีเสียชีวิตจากโรคภัยไข้เจ็บ แต่หากเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจะได้เพิ่มเป็น 2 เท่า)
สาเหตุที่พวกเขาเสนอแผนประกันฯตัวนี้ เพราะอิงจากโจทย์พื้นฐานข้างต้น และที่สำคัญคือ “ผู้เอาประกัน” ไม่มีความเชี่ยวชาญมากพอจะบริหารพอร์ตลงทุนของตัวเอง จึงมอบอำนาจการตัดสินใจในการบริหารเงินลงทุนที่ถูกจัดแบ่งจากประกันชีวิตช่วงปีแรก 65-70% (ลดลงในปีต่อๆ ไป) ภายใต้เงื่อนไขผลตอบแทนราว 3.5-4.0% ต่อปี
โดยหาก “ผู้เอาประกัน” จะถอนเงินบางส่วนออกไประหว่างทางก็สามารถทำได้ เพียงแต่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียม 200 บาท ในช่วง 3 ปีแรก หรือหากมีรายได้มากขึ้น “ผู้เอาประกัน” สามารถจะเพิ่มวงเงิน เพื่อให้มีเงินคุ้มครองเมื่อจบโครงการฯสูงขึ้น และได้ผลตอบแทนจากการลงทุนมากยิ่งขึ้น
ถือเป็นแผนงานที่น่าสนใจไม่น้อยสำหรับค่าย “เมืองไทยประกันชีวิต”
แต่กับทางฝั่ง บมจ.กรุงเทพประกันชีวิต แม้ไม่มีแผนประกันชีวิตควบคู่การลงทุน ในแบบ “ยูนิต ลิงค์” แต่ก็พวกเขาก็มีผลิตภัณฑ์ที่เรียกว่า 3B LINK เชื่อมต่อระหว่างบริษัทร่วมเครือ ธนาคารกรุงเทพ ประกอบด้วย บลจ.บัวหลวง, บมจ.กรุงเทพประกันภัย และ บมจ. กรุงเทพประกันชีวิต รวมถึงจัดเตรียม “ปรึกษาการเงิน” มืออาชีพมาคอยให้คำแนะนำการลงทุน
จากโจทย์ข้างต้น “ปรึกษาการเงิน” ค่ายนี้ แนะนำให้ลงทุนที่ปีละ 30,000 บาท หรือเฉลี่ยต่อเดือนที่ 2,500 บาท แต่เนื่องจากผลิตภัณฑ์นี้ แยกกันชัดเจนระหว่าง…ก้อนเงินประกันชีวิต กับก้อนเงินเพื่อการลงทุน ซึ่งตามโจทย์ที่กำหนดวงเงินคุ้มครองชีวิต 300,000 บาท แต่เมื่อครบสัญญา (อายุ 90 ปี / จะเลือกหรือไม่ก็ได้) “ผู้เอาประกัน” จะได้เงินคุ้มครองถึง 600,000 บาท และหากเสียชีวิตจะได้สูงถึง 1,200,000 บาทเลยทีเดียว กระนั้น ก็จะต้องจ่ายเป็นเงินค่าประกันชีวิตรวมกันตกราวปีละ 26,688 เศษ
เหลือเป็นก้อนเงินสำหรับการลงทุน ที่ “กรุงเทพประกันชีวิต” จะนำไปบริหารให้เพียง 3,312 บาทต่อปีเท่านั้น โดยแนะนำให้ลงทุนในกองทุนรวมบัวหลวงที่ชื่อ B-SENIOR-X ซึ่งจะได้รับผลตอบแทน 3.75% ต่อปี ซึ่งก็มากกว่าการนำไปฝากไว้กับธนาคารพาณิชย์ทั่วไปที่ได้ผลตอบแทนเพียง 1.50% ต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อที่บางช่วงสูงเฉียด 3% กันเลยทีเดียว
ทั้งนี้ หาก “ผู้เอาประกัน” สนใจจะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนให้มากขึ้น และสามารถรับความเสี่ยงได้สูงขึ้น กองทุนฯที่ชื่อ BTP ซึ่งให้ผลตอบแทนสูงถึง 11.0% ต่อปี ก็น่าสนใจไม่ได้ทีเดียว แต่ก็ต้องเข้าใจปรัชญาที่ว่า “ที่ๆ ให้ผลตอบแทนสูง ย่อมมีความเสี่ยงสูงตามไปด้วย”
จะว่าไปแล้ว…ผลิตภัณฑ์ฯของค่าย “กรุงเทพประกันชีวิต” ก็น่าสนใจเช่นกัน
มาดูกันที่ค่ายสุดท้าย คือ บมจ.ไทยประกันชีวิต แน่นอนค่ายนี้…อาจดู “อนุรักษ์นิยม” ไปนิด กระนั้น ความที่ครองใจคนไทยมานานและมีฐาน “ผู้เอาประกัน” จำนวนไม่น้อย ผ่านเครือข่าย…เพื่อนฝูง คนรู้จัก เพื่อนของเพื่อน ไปจนถึงญาติพี่น้องและลูกเมียของ “ตัวแทนนายหน้า”
กับข้อเสนอ ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่ชื่อ…ธนทวี 1 10/5 กำหนดเบี้ยประกันภัยรายปี ที่ 29,850 บาท สามารถแบ่งจ่ายรายได้เดือนไม่ถึง 2,500 บาท แต่สามารถให้ความคุ้มครองยาวนานตลอดระยะเวลา 10 ปี ทั้งที่ “ผู้เอาประกัน” ชำระเบี้ยค่าประกันภัยเพียง 5 ปี เท่านั้น
พูดง่ายๆ “ส่ง 5 ปี แต่คุ้มครอง 10 ปี” กระนั้น การจะเบิกถอนเงินได้ ก็ต้องรอให้ครบอายุสัญญา ซึ่งเมื่อถึงวันนั้น จะมีเงินไหลกลับเข้ากระเป๋าของ “ผู้เอาประกัน” รวมผลประโยชน์อื่นๆ ตลอดอายุสัญญา (10 ปี) มากถึง 180,000 บาท
ถือเป็นอีกค่ายที่จะมองข้ามไม่ได้เลย แม้ว่า “ไทยประกันชีวิต” จะไม่มี “ยูนิต ลิ้งค์” หรือ “ยูนิเวอร์แซลไลฟ์” (ในความหมายของ “เมืองไทยประกันชีวิต”) ก็ตาม แต่พวกเขาก็สามารถจะบริหารเงินเบี้ยประกันภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ มิต่างจากการลงทุนในกองทุนใดๆ เลย
ทั้ง 4 บริษัทประกันชีวิตชั้นนำ “ผู้เอาประกัน” สามารถจะปรับลดเพิ่มขนาดวงเงินเบี้ยประกันภัยและมูลค่าการลงทุนได้ตลอดเวลา เพียงแต่ต้องเข้าใจหลักปรัชญาและความเสี่ยงของการลงทุนที่เกริ่นในตอนต้นเอาไว้ว่า… “ที่ๆ ให้ผลตอบแทนสูง ย่อมมีความเสี่ยงสูงตามไปด้วย” ให้ดีเท่านั้น
ถึงตรงนี้ มนุษย์เงินเดือน…ที่อยู่ในวัยใกล้เกษียณอายุการทำงาน และยังไม่มีหลักประกันใดๆ นอกเหนือจาก…ประกันสังคม แล้วล่ะก็ พิจารณาจากรายงานชิ้นนี้ และหาข้อมูลประกอบเพิ่มเติม เพื่อการตัดสินใจในท้ายที่สุดจะเป็นเรื่องที่ดีและเหมาะสมอย่างที่สุดเช่นกัน
เราเพียงจุดประกายความคิด ผ่านคำแนะนำดีๆ ให้คนวัยทำงานที่เหลือเวลาไม่มากนัก ก่อนจะเกษียณตัวเองในอีกไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า ได้เร่งศึกษาและหาข้อมูลประกอบการตัดสินใจ เพื่อวางแผนอนาคตในช่วงโค้งสุดท้าย…
เมื่อได้อ่าน ได้คิดตามแล้ว ก็คงมือหาข้อมูลและความรู้เพิ่มเสียแต่วันนี้…ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ไข!
อ้อ! หากตัดสินใจได้ไม่เกินวันสุดท้ายของการจัดงาน SET in the City 2018 คือวันที่ 15 – 18 พฤศจิกายนนี้ คุณจะได้รับเงื่อนไขพิเศษสุดๆ รีบตัดสินใจโดยพลัน!!!.