“ประยุทธ์” เดิมพันแก้โควิด-เศรษฐกิจ ไม่ยอมเสียหน้า
รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังอยู่ในช่วง “หน้าสิ่วหน้าขวาน” เผชิญหน้า “วิกฤตซ้อนวิกฤต” ทั้งมหาวิกฤตสุขภาพจากโรคระบาดโควิด 19 – แผลเป็นทางเศรษฐกิจ และวิกฤตศรัทธาจากการบริหารโควิดผิดพลาด
สิงหาคม – 15 วันอันตราย “พล.อ.ประยุทธ์” หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องรับ “แรงกระแทก” จากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดไต่ระดับถึง “จุดพีก” ของการระบาดโควิดระลอกเมษายน 2564
“คณะแพทย์ที่ปรึกษา” ในศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) ประเมิน ว่ากลางเดือนสิงหาคมจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด 19 จะทุบทุกสถิตินิวไฮ-ทะลุ 3 หมื่นคน
อย่างไรก็ดี เมื่อผ่าน “ครึ่งแรก” ของเดือนสิงหาคมไป “กราฟตัวเลขผู้ติดเชื้อ” จะค่อย ๆ “กดหัวลง” อย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับการได้รับวัคซีน-ทยอยฉีดวัคซีน “เป็นกอบเป็นกำ” ทำให้รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ได้ตั้งหลัก-ตั้งตัว “หายใจได้ทั่วท้อง”
คู่ขนานไปกับมาตรการ “กึ่งล็อกดาวน์” ที่ยังกล้า ๆ กลัว ๆ ไม่งัด “อู่ฮั่นโมเดล” มา “ปิดเมือง” เพราะ ศบค. ยังแขยงกับเสียงก่นด่าจากคนหาเช้ากินค่ำ-แม่ค้าร้านตลาด
รวมถึงมาตรการ “แจกเงิน” ผู้ประกอบการ นายจ้าง-ลูกจ้าง ทั้งในระบบ-นอกระบบ 6 หมื่นล้านบาท จาก “เงินกู้ 5 แสนล้าน” และโครงการ “คนละครึ่ง” เฟสสาม – โครงการ “ยิ่งใช้ยิ่งได้” แต่ก็เป็นเพียงเพื่อ “ซื้อเวลา” เท่านั้น
เทียบไม่ได้กับมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจหลายแสนล้านบาท จากผลกระทบการปิดกิจการ-ห้างร้าน ที่มีมากกว่า 9 ประเภทกิจการที่รัฐบาลประกาศเยียวยานายจ้าง-ลูกจ้าง
ไม่นับ “ธุรกิจสีเทา” จากการประกาศห้ามออกนอกเคหสถาน (เคอร์ฟิว) ตั้งแต่เวลา 21.00 น. – 04.00 น.ของวันรุ่งขึ้น
ความ “ไม่เด็ดขาด” ในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด 19 การ “แทงม้าตัวเดียว” ในการจัดหาวัคซีน ส่งผลให้ระบบสาธารณสุขไม่ต่างอะไรจากการ “ล่มสลาย” สะท้อนจากปัญหาเตียงไม่พอ คนป่วยโควิดนอนตายบนถนน-ในบ้าน
จน “พล.อ.ประยุทธ์” ต้องยื่นคำขาด “ห้ามมีคนนอนตายบ้านอีก” โดยมี “ศูนย์พักคอย” การ “กักตัวที่บ้าน” และ “กักตัวในชุมชน” ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการเข้าสู่ระบบการรักษาแบบ “ตามยถากรรม”
ขณะเดียวกันความ “ไม่จริงใจ” ของพรรคร่วมรัฐบาล-พร้อมถีบหัวเรือส่งได้ทุกเมื่อ ก่อเป็น “สนิมเนื้อใน” รัฐบาลเรือแป๊ะ
ขณะที่ศึกนอก ม็อบ 7 สิงหาฯ – ม็อบ 10 สิงหา ฯ ปักมอมมปักหมุดชุมนุมในวันที่ 7 สิงหาคม และ 10 สิงหาคม เพื่อ “ไล่ประยุทธ์” เปิดแผลสด-ลดความชอบธรรมของรัฐบาลในช่วงที่รัฐบาลอยู่ในช่วงประสบกับมรสุมรอบด้าน
ทั้งปัญหาโรคระบาด-เศรษฐกิจ และการเมืองภายใต้รัฐบาลผสมพลเรือน-ทหาร ที่มี “รัฐราชการ” เป็นฟันเฟืองสำคัญ ประจักษ์ให้เห็นแล้วว่า ไม่สามารถแก้ปัญหาวิกฤตขนาด “มหาวิกฤต” อย่างโรคระบาดโควิด 19 ได้
โดยเฉพาะ “จุดอ่อน” ของรัฐบาลทหาร-ผู้นำที่มีจากกลไก-รัฐธรรมนูญฉบับสืบทอดอำนาจ เพื่อหวังล้มรัฐบาล-เกิดการเปลี่ยนแปลง “ทะลุฟ้า”
ดีกรีความเดือดของการชุมนุมในวันที่ 7 สิงหาคม วัดจากจำนวนผู้ชุมนุนที่มี “เยาวชนปลดแอก-Free YOUTH” และ“กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย Democracy Restoration Group – DRG” เป็น “แกนหลัก” ของ “ม็อบ 7 สิงหา”
“จุดรวมพล” ที่ “อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย” ก่อนเคลื่อนขบวนไปยัง “พระบรมมหาราชวัง” ประกอบด้วยแนวร่วม 9 กลุ่ม ได้แก่ 1.คณะรณรงค์เพื่อรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน 2.กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย DRG 3.ขบวนการริมสระ
4.เครือข่ายรามคำแหงเพื่อประชาธิปไตย 5.ทะลุฟ้า 6.เยาวชนปลดแอก 7.ศาลายาเพื่อประชาธิปไตย 8.สหภาพคนทำงาน และ 9.SUPPORTER THAILAND
โดยมี 3 กลุ่มหลัก เป็น “ทัพหน้า” คือ กลุ่มเยาวชนปลดแอก โดยนัดหมายกันเดินขบวนจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปยังพระบรมมหาราชวัง
โดยมี “การ์ดวีโว่” และ “กลุ่มราษฎร2563” เป็น “ฮาร์ดคอร์” คอยปะทะกับแนวต้านของเจ้าหน้าที่ตำรวจบริเวณโรงแรมรัตนโกสินทร์ เพื่อตีป้อมค่ายให้ไปถึงชั้นใน-พระบรมมหาราชวัง
กลุ่มอาชีวะประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นัดหมายกันที่เชิงสะพานผ่านฟ้าเพื่อไปยังทำเนียบรัฐบาลในรูปแบบ “คาร์ม็อบ” และ กลุ่มแดงก้าวหน้า 63 กลุ่มแดงใหม่ภาคี 4 ภาค กลุ่มราษฎรลพบุรี สระบุรี นครนายก โดยรวมตัวกันในต่างจังหวัดต่าง 30 จุด 30 จังหวัด
ขณะที่ศึกใน-พรรคฝ่ายค้าน ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่วางใจ-ซักฟอก วันที่ 16 สิงหาคม 2564 “จองกฐิน” พล.อ.ประยุทธ์-นายกรัฐมนตรี “จำเลยที่หนึ่ง” ที่จะถูก “ขึ้นเขียง”
ขณะที่ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี-รมว.สาธารณสุข เป็น “จำเลยที่สอง” ด้วยข้อกล่าวหาเดียวกัน คือ บริหารโควิดผิดพลาด-มือไม่ถึง
โดยมี “หมัดน็อค” ด้วยข้อครหาการทุจริตของคนในรัฐบาล โดยมี “เสี่ยโอ๋” ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม “บิ๊กป็อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย และ “ผู้กองธรรมนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตร ฯ อยู่ใน “บัญชีดำ”
สุดท้ายเกมโค่นรัฐบาล ทั้งใน-นอกสภา พล.อ.ประยุทธ์ยังไงก็ไม่ถอดใจ-ไม่มีทางยุบสภา-ไม่ลาออกตอนนี้ จนกว่าจะแก้โควิด 19 ได้ หรือ อย่างน้อยสถานการณ์คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น เพราะไม่ยอมให้ “เสียหน้า” ชายชาติทหาร
ทว่า “ประชาชนรับกรรม”