ทางออก…ในวันสิ้นลมหายใจ?
“ทางออกประเทศไทย” ที่ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เสนอต่อ คสช. ท่ามกลางกระแสการเลือกตั้งครั้งใหม่นั้น หรือเพราะ “อดีตขงเบ้งแห่งกองทัพไทย” มองเห็นหรือรับรู้สัญญาณพิเศษบางอย่าง? ที่หากปล่อยให้ประเทศไทยเดินหน้าในสถานการณ์นี้ต่อไป บ้านเมืองไทยอาจเข้าสู่ “ทางตัน” ในวันที่ลมหายใจของใครบางคน? สิ้นสลายลงแล้ว!!!
ท่ามกลางกระแสข่าวลือ “วงในสุดๆ” ต่อการจากไปอย่างไม่มีวันกลับ! ของชายสูงวัย…ผู้มากบารมีแห่งคุ้งน้ำเจ้าพระยา ในวันอำลาชีวิตราชการ รวมถึงลูกจ้างพนักงานรัฐวิสาหกิจและเอกชน เมื่อช่วงสายของวันศุกร์ที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา
อีกชายผู้สูงวัยและมีสถานะเป็น Frenemy คือ เป็นทั้งมิตรและศัตรูในเวลาเดียวกัน ออกควงคู่ชายวันกลางคน ผู้เป็นเสมือนสัญลักษณ์ “ผู้นำ” ของฝ่ายตรงข้าม “ชายผู้จากไป” ออกมาแถลงข่าว “ทางออกประเทศไทย” ที่บางคนบางฝ่าย อดคิดไม่ได้ว่า…มันเป็นเพียงข้อเสนอ หรือเงื่อนไขสุดท้าย ก่อนที่อะไรๆ ในบ้านเมืองนี้ จะเดินเข้าสู่สภาวะ “แตกหัก” กันแน่!!!
แน่นอนว่า…การออกมาของ “อดีตนายกรัฐมนตรี” ผู้ที่เคยได้ชื่อว่าเป็น “ขงเบ้งแห่งกองทัพไทย” อย่าง…พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ หรือ “พ่อใหญ่จิ๋ว” ครั้งนี้…ย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
แม้ข้อเรียกร้อง…ที่ควง “แกนนำเสื้อแดง” เช่น นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ออกมารอบนี้ จะไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะหลายครั้งก่อนหน้านี้ “พ่อใหญ่จิ๋ว” ก็เคยออกมาพูดถึงเรื่อง “โซ่ข้อกลาง” “เซ็ทซีโร่” และ “รัฐบาลแห่งชาติ” กันมาบ้างแล้ว
เพียงแต่รอบนี้…แปลกตรงที่มีการผูกโยงไปถึงโครงการขนาดยักษ์มูลค่ามหาศาลถึง 197 ล้านล้านบาท ที่เจ้าตัวและทีมงานฯ ได้คิดและเตรียมการถวายแด่ ในหลวง รัชกาลที่ 10 ในโอกาสที่ประวัติศาสตร์รัฐชาติและชนชาติไทย ดำรงต่อเนื่องมายาวนานถึง 780 ปี
นัยว่าอภิมหาโครงการสุดอลังการนี้ ไม่เพียงเป็นการตอบแทนคุณแผ่นดิน หากยังจะช่วยยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยและเศรษฐกิจไทยให้แข็งแกร่ง มั่งคั่ง และมั่นคง กระจายตัวไปทั่วทุกหัวระแหง ดุจดั่งคำนายแต่โบราณ “รัฐกาลที่ 10 กับยุคชาววิไล”
พลเอกชวลิตเลือกช่วงเวลาอันเป็นวาระสำคัญที่กองทัพไทย กำลังจะเปลี่ยนแปลง “ตัวผู้นำเหล่าทัพ” ล็อตใหญ่ มาสร้างเงื่อนไข ต่อ…พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. รวมถึงคณะ คสช.และรัฐบาลของพวกเขา ด้วยการลาออก และถวายคืนพระราชอำนาจ เพื่อที่ในหลวงรัชกาลที่ 10 จะได้ทรงพระราชทาน “รัฐบาลเฉพาะกาล” ขึ้นมาเดินหน้าสร้างระบอบประชาธิปไตยใหม่ที่เป็นสากล และนำพาบ้านเมืองนี้ ก้าวสู่ยุคแห่งความศิวิไลซ์ เช่นนานาอารยะประเทศต่อไป
หลายคนตั้งคำถามตัวโตๆ ที่ พลเอกชวลิต ออกมายื่นข้อเสนอในครั้งนี้ มาในฐานะใด? ในนามใครหรือคณะใด? และหากพลเอกประยุทธ์ และคณะ คสช. ไม่ทำตาม แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นกับบ้านเมืองไทย?
จะใช่…เสียงระเบิดนับสิบๆ ลูก ทั้งในเมืองหลวง หัวเมืองในต่างจังหวัดทั่วประเทศ เช่นที่ พลเอกชวลิต ยกตัวอย่างให้ฟังในวันนั้นหรือไม่? และถ้าใช่ หรือไม่ใช่…แล้วจะเกิดอะไรต่อไป?
ในเมื่อคนไทยและคนทั่วโลก ต่างรับรู้ทั่วกันว่า…อีกไม่ช้า คนไทยและประเทศไทยกำลังจะกลับสู่ภาวะ “เสียงของประชาชนคนไทย…กลับมาเป็นใหญ่ในวันหย่อนบัตรเลือกตั้งอีกครั้ง ” ซึ่งนั่น หากจะขยับออกจากกำหนดวันเวลาเดิมคือ วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 ก็คงไม่ไกลเกิน 3 เดือนจากนั้น
แล้วทำไม พลเอกชวลิต จึงยื่นข้อเสนอนี้ ผ่านสื่อมวลชน ส่งต่อไปยัง พลเอกประยุทธ์ และคณะ คสช. หรือเพราะเขาล่วงรู้เหตุลึกอะไรบางอย่าง? ที่กำลังก่อตัวขึ้น ภายหลังการจากไปของชายสูงวัย ผู้มากบารมีรายนั้น
ทางกลับกัน…หากสิ่งนั้น หมายถึง “เหตุลึกอะไรที่ว่า?” หาได้มีอยู่จริง! ท่ามกลางภาวะที่บ้านเมืองไทยกำลังเดินหน้าเข้าสู่…กระแสการเลือกตั้งครั้งใหม่ ที่นักวิชาการบางคน อย่าง…รศ.สุขุม นวลสกุลอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้ตั้งข้อเกตุที่ว่า… “คงยากที่ใครจะมาลบล้างกระแสเลือกตั้งครั้งนี้ได้”
นั่นเพราะข้อเรียกร้องของ พลเอกชวลิต และนายจตุพร มิต่างจากการปักหมุด วางแผนจะ “ลบ” กระแสเลือกตั้งครั้งใหม่ ออกไปจากความหวังของคนไทยทั้งมวล นั่นเอง
เมื่อเป็นเช่นนี้ ซีกความชอบธรรมที่ พลเอกประยุทธ์ และคณะ คสช. จะปฏิเสธข้อเสนอข้างต้น ย่อมต้องได้รับแรงหนุนจาก…กลุ่มคนที่ต้องการจะเห็นการเลือกตั้ง อย่างน้อยก็ขอให้การเลือกตั้งครั้งนี้ ผ่านพ้นไปก่อน เพราะการเลือกตั้งที่เร็วมากเท่าไหร่? ยิ่งเป็นการไล่ “รัฐบาล คสช.” ให้พ้นไปจากศูนย์กลางอำนาจบริหารราชการแผ่นดิน…ได้เร็วเท่านั้น
แม้ว่าสิ่งที่ พลเอกชวลิต จะตอบคำถาม “สื่อใหญ่อาวุโส” อย่าง…“พญาไม้” หรือ นายเผด็จ ภูรีปฏิภาณ ที่ร่วมเป็นสักขีพยานในวันนั้น ทำนอง…การเลือกตั้งครั้งใหม่ ก็ไม่ทำให้บ้านเมืองไทยก้าวข้ามพ้นปัญหาความขัดแย้งที่หยั่งรากฝังลึกมายาวนานได้!!!
ยิ่งการบริหารราชการแผ่นดิน ยุคที่มี “ยุทธศาสตร์ 20 ปี” คอยกำกับและตีกรอบการบริหารประเทศ มิให้รัฐบาลใดๆ ก็ตาม หนีห่างจากเส้นกำหนดที่ คสช.วางกรอบเอาไว้ ท่ามกลางรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่มากด้วยสารพันปัญหามากมาย ไม่ได้ทำให้บ้านเมืองไทยและคนไทย ก้าวสู่ความเป็น “รัฐประชาธิปไตย” อย่างแน่นอน
แต่นั่น อาจนำไปสู่ “ปัญหาใหม่” ที่ใหญ่กว่า “ปัญหาเก่า” ซึ่งหมักหมมมายาวนาน ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา
ทีมข่าวการเมือง AEC10NEWS หวังใจเพียงแค่ว่า…สถานการณ์บ้านเมืองไทย ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อรอบนี้ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งทางตรงและทางอ้อม…จะไม่สร้างหรือก่อปัญหาใดๆ ที่จะนำพาให้บ้านเมืองไทยของเรา ก้าวไปสู่ภาวะ “ถดถอย”
กระทั่ง กลายสภาพเป็นภาวะ “Civil War” หรือ “สงครามกลางเมือง” อย่างที่ใครบางคน? แอบหวังจะได้เห็น!!!.