ดร.บิล ส.ส.เจ้าพ่อโปรเจค
ดร.บิล ส.ส.หนุ่ม ไฟแรงจากพรรคประชาธิปัตย์ เป็นเจ้าพ่อแห่งโปรเจค เฉพาะช่วงโควิด ผุด ไอเดียแล้วหลายโครงการ
ดร.อิสระ เสรีวัฒนวุฒิ หรือ บิล ส.ส.หนุ่มวัย 37 ปี จากพรรคประชาธิปัตย์ ก้าวเข้าสู่สนามการเมืองระดับชาติเป็นครั้งแรก หลังสั่งสมประสบการณ์ด้านธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ของครอบครัว ขยายกิจการและการลงทุนไปยังภาคพื้นยุโรป ตัดสินใจย้ายฐานการผลิตจากประเทศอิตาลีและประเทศโรมาเนียมายังประเทศไทย
ในบทบาททางการเมือง จะเห็นว่าเขาเป็นหนึ่งคนที่ใกล้ชิดกับนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นหนึ่งในนักการเมืองคลื่นลูกใหม่ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีความโด่นเด่นไม่เป็นรองใคร
13 ก.ย. 2562 หลัง นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ลาออกจาก ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ส่งผลให้ ดร. อิสระ ขยับขึ้นมาทำหน้าที่แทน
และหลังจากรับตำแหน่ง ส.ส.ได้ไม่นาน ประเทศไทยและทั่วโลกต่างเผชิญกับสถานการณ์โรคโรคโควิด-19 ทำให้ ดร.บิล ไม่รอช้า ที่จะเป็นส่วนหนึ่งร่วมแก้ไขปัญหา บรรเทาความเดือนร้อนของประชาชน
เขาเริ่มโปรเจคการผลิตแอพพลิเคชั่น “CovidCheck” เพื่อค้นหาจุดตรวจโรคโควิด-19 ใกล้บ้าน ต่อมาออกโปรเจค “I’mCorona” นำข้อมูลความรู้ทางการแพทย์ มาอธิบายด้วยนิทานสำหรับเด็ก ให้เด็กเข้าใจโดยง่าย
โปรเจคที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างดีของ ดร.บิล คือ KnowCovid จับมือหนังสือขายหัวเราะ และได้รับความร่วมมือจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ออกการ์ตูนแก้ไขข้อมูลที่สังคมเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนมาธิบายให้ถูกต้องด้วยการ์ตูนขายหัวเราะ เข้าใจง่าย คลายเครียด
ดร.อิสระ เล่าที่มาของโปรเจคนี้ว่า การสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคโควิด-19 ให้สังคมวงกว้างรับรู้เป็นแนวทางการจัดการปัญหาที่มีประสิทธิภาพอย่างหนึ่ง เพราะนำไปสู่การปฏิบัติตัวที่เหมาะสม ช่วยลดปัญหาการแพร่เชื้อ ซึ่งจะเป็นการลดภาระให้กับบุคลากรทางการแพทย์ได้อย่างมาก เพราะข้อมูลที่ถูกต้องนั้นถือเป็นอาวุธชั้นดีในการป้องกันการแพร่ระบาด ขณะที่ข้อมูลที่ผิด ก็เป็นเครื่องมือที่จะทำให้โรคมันกระจายเร็วขึ้น
“พอผมบอกไอเดียไป ปรากฏว่าทุกฝ่ายเห็นตรงกัน จึงสร้างสรรค์ออกมาเป็นชุดข้อมูล โดยขายหัวเราะถนัดการสื่อสาร ก็ให้ขายหัวเราะเป็นคนสื่อสารข้อมูล แล้วโพสต์ลงบนโลกออนไลน์ เกิดการไลก์การแชร์เป็นแสนเป็นหมื่น รวมถึงได้รับความสนใจจากเพจชื่อดังต่างๆ ที่เป็นอินฟลูเอนเซอร์ในโลกออนไลน์ เราก็ได้รับฟีดแบ็กดี ๆ กลับมาว่า เป็นข้อมูลที่ประชาชนเขาสงสัยอยู่แล้ว แล้วก็ดูง่าย เข้าใจได้ง่ายด้วย” ดร.อิสระกล่าว
นั่นยังไม่ใช่โปรเจคที่ประสบความสำเร็จสูงสุด ยังมีอีกหนึ่งโปรเจคคือ “MiniMask หน้ากากเพื่อเด็ก”
จากความตั้งใจหาหน้ากากให้ลูกชายป้องกันโควิด-19 สู่โครงการ MiniMask หน้ากากเพื่อเด็ก ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากสังคม
โครงการ Minimask ผลิตหน้ากากสำหรับเด็กที่ “ดร.อิสระ” ตั้งใจจะให้เป็นโครงการเล็กๆ เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยเหลือกันและกันในยามวิกฤตโควิด-19 แต่โครงการดังกล่าวกลับใหญ่ขึ้น เมื่อคนให้ความสนใจจำนวนมาก
สำหรับโครงการ Minimask “ดร.อิสระ” ได้ประเดิมออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด พร้อมเชิญชวนสมัครพรรคพวก ให้มาร่วมกันสนับสนุนโครงการ ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากคนหลายสาขาอาชีพ จนสามารถผลิตหน้ากากเด็กได้ในจำนวน 1 แสนชิ้น พร้อมจัดส่งถึงบ้านฟรีทางไปรษณีย์ เพราะเขาไม่ต้องการแจกเองกับมือ ซึ่งนั่นจะเท่ากับว่า คนต้องออกจากบ้านเพื่อมารับหน้ากาก
“อิสระ” ระบุ หน้ากากนี้ซื้อผ้าจากโรงงาน และว่าจ้างแม่บ้านวิสาหกิจชุมชนจังหวัดต่างๆ ที่ได้เจอตอนลงพื้นที่ ดังนั้น จึงถือว่าเป็นการช่วยเหลือชาววิสาหกิจชุมชน ที่ขณะนี้พวกเขาว่างงาน เพราะขาดรายได้จากการขายสินค้า OTOP
“เมื่อเริ่มโครงการนี้ทำให้ผมได้เห็นน้ำใจของคนไทย เพราะเมื่อเพื่อนหลายคนทราบ ต่างก็มาช่วยกัน ทั้งเพื่อนที่มีเครื่องจักรตัด ตอนนี้งานน้อยเพราะเงินบาทแข็ง ก็มาช่วยตัดผ้าให้ เพื่อนโรงพิมพ์ก็ช่วยพิมพ์กระดาษ บางคนบริจาคซองให้ รวมถึงไปรษณีย์ไทย ยังกรุณาลดค่าส่งให้พิเศษ“
“อิสระ” เปิดตัวโปรเจค MiniMask ผ่านเพจเฟซบุ๊ก “ดร.อิสระ เสรีวัฒนวุฒิ – issara sereewatthanawut” พร้อมเปิดให้ผู้ที่สนใจได้ลงทะเบียนในเว็ปแอพของเขา https://gocovid.issara.in.th เพื่อรับหน้ากากเด็ก
ปรากฎว่า ยังไม่พ้นข้ามคืน คนแห่มาลงทะเบียนกันล้นหลาม จนยอดจองหน้ากาก 1 แสนชิ้นหมดเกลี้ยง และยังมีผู้ปกครองอีกจำนวนมากที่ส่งข้อความมาหาเขา เล่าว่าลงทะเบียนไม่ทัน ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นว่า หน้ากากสำหรับเด็กๆ เป็นที่ต้องการของประชาชนอย่างมาก ไม่ต่างกับหน้ากากของผู้ใหญ่เลยแม้แต่น้อย
กระทั่งต่อมา “ดร.บิล” เกิดไอเดียใหม่ ประกาศเปิดรับบริจาคเงิน เพื่อผลิตหน้ากากเด็ก 1 ล้านชิ้น รับบริจาคคนละ 19 บาท หรือตามตามความประสงค์ โดยหวังใช้แนวทาง CrowdFunding มาระดมทุน ซึ่งหลังจากจากประกาศรับบริจาคไปได้ไม่กี่ชั่วโมง ปรากฎว่ามีคนบริจาคเงินสมทบทุนในโปรเจคนี้ถึงหลักแสนบาท
เขา ระบุว่า ผมนอนคิดทั้งคืน ว่าจะทำไงดี จนต้องยอมรับความจริงว่า ผมไม่ใช่ซูเปอร์แมน ต่อให้เรามีเงินแค่ไหน ก็ไม่สามารถแจกเด็กทั้งประเทศได้ จึงต้องยอมรับว่า ผมทำคนเดียวไม่ได้ผมจึงอยากขอเชิญชวนทุกคน ที่คิดเหมือนผมว่าเด็กคืออนาคต และเรามีหน้าที่ดูแลเขา มาร่วมกันกับผม
โครงการ MiniMask เฟส 2 ออกมาเมื่อปลายปี 2563 และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีไม่แพ้เฟสแรก
ด้วยความเป็นนักการเมืองเจ้าโปรเจค ดร.อิสระ ยังคิดค้นโครงการใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด ผุดโปรเจคใหม่ จัดหา “เครื่องฆ่าเชื้อยูวี” ให้ร้านตัดผม ร้านเสริมสวย
เขา บอกว่า ได้เดินสำรวจดูร้านรวงต่าง ๆ หลังมีมาตรการผ่อนปรน เพื่อให้มีข้อมูลที่ครบถ้วนในการทำงานในสภา เดินอยู่สักพัก ก็มาสะดุดตากับร้านตัดผมชายเล็กๆ ร้านหนึ่ง มองเข้าไปแล้วไม่มีลูกค้า มีช่างอยู่เพียงคนเดียว จึงได้แวะนั่งคุยด้วย แต่ครั้นจะนั่งคุยเฉยๆก็เกรงใจลุง ถือโอกาสตัดผมกับลุงซะเลย
“คุณลุงเล่าว่า ลำบากมาก ยังต้องจ่ายค่าเช่าทุกเดือน แม้จะเป็นช่วงปิดกิจการชั่วคราวตามคำสั่งรัฐ และตอนนี้ถึงจะให้เปิดได้ แต่ก็แทบไม่มีลูกค้า และยังมีภาระค่ารักษาตัวจากการผ่าตัดถุงน้ำดี หลายอาชีพกำลังลำบากมาก และช่างผมช่างเสริมสวยก็เป็นหนึ่งในนั้น ผมอยากเป็นส่วนหนึ่งที่ได้ช่วยเหลือคนตัวเล็กๆ เหล่านี้ ผมจึงมีโครงการในใจที่คิดว่า อาจจะพอช่วยบรรเทาปัญหาได้”
นำไปสู่การมอบเครื่องฆ่าเชื้อยูวีให้กับช่างผม 1,000 คน โดยไม่ได้ใช้งบประมาณแผ่นดิน แต่เป็นการสนับสนุนจากผู้ใหญ่ใจดี
ดร.อิสระ เสรีวัฒนวุฒิ บอกว่า ยังจะคิดโปรเจคใหม่ๆต่อไป ควบคู่กับการทำงานในฐานะ ส.ส. เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหา