จับตา“วัคซีน”ทางรอดศก.ไทย

28 ก.พ. 64 นับเป็นวันประวัติศาสตร์ของไทยวันหนึ่ง ที่ได้มีการฉีดวัคซีนป้องกันโควิค-19 ครั้งแรกในประเทศ หลังจากที่โรคนี้ได้เริ่มระบาดในประเทศตั้งแต่ต้นปี 2563 หรือเกือบ 1 ปีที่ผ่านมา ซึ่งได้สร้างความเสียหายและผลกระทบต่อเศรษฐกิจให้ตกต่ำไปทั่วโลก รวมถึงการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว
การฉีดวัคซีนในประเทศ จึงเป็นเหมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ที่จะเป็นทางรอดของภาคธุรกิจและเศรษฐกิจไทย

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จึงได้จัดทำผลสำรวจ FTI Poll ภายใต้หัวข้อ ความเชื่อมั่นต่อการบริหารจัดการวัคซีนในการยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยป็นการสอบถามจากผู้บริหารจำนวน 200 ท่าน ครอบคลุม 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 74 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด พบว่า ผู้บริหารในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมส่วนใหญ่มีความเชื่อมั่นต่อการบริหารจัดการวัคซีนของรัฐบาลในระดับปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 61.0 รองลงมามีความเชื่อมั่นอยู่ในระดับมาก ร้อยละ 22.0 และความเชื่อมั่นอยู่ในระดับน้อย ร้อยละ 17.0
ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นว่าผู้บริหารส่วนใหญ่มีความพร้อมในการรับวัคซีนโควิดจากภาครัฐ แต่ยังมีความกังวลถึงผลข้างเคียงจากวัคซีน คิดเป็นร้อยละ 60.5 ขณะที่มีผู้บริหารที่มีความพร้อมและเชื่อมั่นในประสิทธิภาพของวัคซีนมีสัดส่วนร้อยละ 31.5
สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่ควรได้รับวัคซีนในลำดับถัดไป ต่อจากบุคลากรทางการแพทย์/สาธารณสุขและบุคคลที่มีโรคประจำตัว พบว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ อันดับ 1 เจ้าหน้าที่ที่มีความเสี่ยงในการปฎิบัติงาน เช่น ตำรวจ อาสาสมัคร ฯลฯ ร้อยละ 73.5 อันดับ 2 แรงงานในภาคบริการ ร้อยละ 55.5 และอันดับ 3 กลุ่มผู้สูงอายุ ร้อยละ 54.5
โดยปัจจัยที่จะช่วยสนับสนุนให้แผนการกระจายวัคซีนโควิดให้แก่ประชาชนมีประสิทธิภาพ 3 อันดับแรก ได้แก่ อันดับ 1 ร้อยละ 63.0 การนำระบบดิจิทัลมาใช้ในการบริหารจัดการ อันดับ 2 ร้อยละ 58 ความร่วมมือจากภาคเอกชนในการบริหารจัดการวัคซีน และอันดับ 3 ร้อยละ 57.5 ความพร้อมของบุคลากร/สถานที่ในการฉีดวัคซีน
FTI Poll ยังได้เจาะลึกไปถึงเรื่องการส่งเสริมให้เอกชนนำเข้าวัคซีนโควิดที่ได้ขึ้นทะเบียนกับ อย. แล้ว เพื่อนำเข้ามาใช้ในประเทศ พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 58.5 เห็นว่าภาครัฐควรส่งเสริมให้เอกชนนำเข้าวัคซีนมาใช้ในประเทศโดยมีเงื่อนไขเฉพาะภายใต้ระเบียบปฏิบัติของรัฐ รองลงมา ร้อยละ 34.0 ควรเป็นหน้าที่ของภาครัฐในการจัดหาและนำเข้าวัคซีน
และเมื่อถามถึงความพร้อมของภาคเอกชนที่จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าวัคซีนโควิดให้แก่พนักงานในบริษัท พบว่า ร้อยละ 43.0 ภาคเอกชนสามารถรับผิดชอบค่าใช้จ่ายได้บางส่วน รองลงมา ร้อยละ 36.0 ยังต้องการให้ภาครัฐสนับสนุนค่าใช้จ่าย ขณะที่ร้อยละ 21.0 สามารถรับผิดชอบค่าใช้จ่ายได้เอง
ในส่วนของมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดในกลุ่มผู้เดินทางเข้าประเทศ พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ร้อยละ 58.5 เห็นว่าภาครัฐควรนำมาตรการพาสปอร์ตวัคซีน (Vaccine Passport) มาใช้ควบคู่กับมาตรการกักตัว 14 วัน สำหรับกลุ่มผู้เดินทางเข้าประเทศ และรองลงมาร้อยละ 35.0 อยากให้นำมาตรการพาสปอร์ตวัคซีน (Vaccine Passport) มาใช้ทดแทนมาตรการกักตัว 14 วัน
ทั้งนี้ ผู้บริหาร ส.อ.ท. ยังคงมองว่า ภาครัฐควรดำเนินมาตรการฟื้นฟูผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องหลังจากมีการฉีดวัคซีนโควิดตามแผนให้แก่ประชาชนแล้ว โดย 3 อันดับแรกที่ ผู้บริหาร ส.อ.ท. ต้องการให้ภาครัฐดำเนินการ ได้แก่ อันดับที่ 1 มาตรการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ ร้อยละ 67.5 อันดับ 2 มาตรการช่วยเหลือ/สนับสนุนธุรกิจ SME ร้อยละ 63.5 ขณะที่อันดับ 3 ส่งเสริมการท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่มี Vaccine Passport ร้อยละ 61.0
หลังจากที่มีการฉีดวัคซีนแล้วคงต้องจับตาการแพร่เชื้อ โดยเฉพาะจำนวนผู้ที่ติดเชื้อในแต่ละวันที่มีการแถลงของศบค. ซึ่งหากมีจำนวนลดลงอย่างต่อเนื่อง ก็จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและภาคธุรกิจ ที่จะส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย