เพนซ์ดีลหมื่นล้านกับอินโดนีเซีย

รองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์แห่งสหรัฐฯประกาศดีลธุรกิจมูลค่าประมาณ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯระหว่างบริษัทอเมริกันและอินโดนีเซียในช่วงเวลาที่เขาไปเยือนกรุงจาการ์ตาเมื่อวันที่ 21 เม.ย.ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายของสหรัฐฯ
ที่สามารถเข้าถึงประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในอาเซียนได้
โดยมีการลงนามในข้อตกลงถึง 11 ดีล ซึ่งรวมถึงบริษัทอเมริกันชั้นนำอย่าง Exxon Mobil, General Electric และ Lockheed Martin
“ การทำข้อตกลงทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึง ความรู้สึกตื่นเต้นมากมายมหาศาลของบริษัทอมริกันที่มีต่อโอกาสในอินโดนีเซีย ” นายเพนซ์กล่าว
ทั้งนี้ Exxon Mobil จะขายก๊าซธรรมชาติเหลวให้ Pertamina ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานที่เป็นรัฐวิสาหกิจของอินโดนีเซีย ขณะที่ General Electric จะจัดหาพลังงานให้กับโรงไฟฟ้าของอินโดนีเซียและLockheed Martin จะจัดหาระบบอาวุธใหม่ให้กับฝูงบินเอฟ-16
ในระหว่างการประชุมที่โรงแรมจาการ์ตาเมื่อวันที่ 21 เม.ย.ที่มีการประกาศดีล นายเพนซ์กล่าวกับบรรดานักธุรกิจชั้นนำว่า เขาและประธานาธิบดีโจโค วิโดโดมีการพูดคุยกันโดยปราศจากอคติและให้เกียรติซึ่งกันและกัน เพื่อปรับปรุงการเข้าถึงตลาดอินโดนีเซียสำหรับบริษัทสหรัฐฯ
โดยเขากล่าวว่า ทางวอชิงตันต้องการที่จะทลายกำแพงที่กั้นขวางระหว่างบริษัทผู้ส่งออกสหรัฐฯ ที่จะเจาะเข้าไปในตลาดอินโดนีเซีย
ที่ผ่านมา อินโดนีเซียเป็นเป้าหมายสำคัญที่ดึงดูดใจนักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากมีตัวเลขเติบโตทางเศรษฐกิจที่น่าพอใจในช่วงไม่กี่ปีมานี้ โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์สำคัญ ในขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วต้องดิ้นรนทางเศรษฐกิจอย่างหนัก
ทั้งนี้ ประเทศที่มีประชากร 255 ล้านคนมีการเติบโตอย่างรวดเร็วของทั้งชนชั้นกลางและผู้บริโภคซึ่งมีพลังในการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม อินโดนีเซียเป็นประเทศที่เข้าถึงได้ยากในเรื่องการทำธุรกิจเนื่องจากนโยบายทางด้านเชื้อชาติ ระบบราชการที่ซับซ้อนและปัญหาการคอร์รัปชั่นของข้าราชการ ซึ่งทำให้บริษัทต่างชาติมักจะประสบปัญหาอยู่บ่อยครั้ง
โดยตัวอย่างล่าสุดของบริษัทของสหรัฐฯที่ต้องเผชิญปัญหาคือ รัฐบาลและบริษัทยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ชื่อ Freeport-McMoRan ซึ่งดำเนินธุรกิจเหมืองทองคำและทองแดงในอินโดนีเซีย หลังจากทางภาครัฐต้องการให้มีสัมปทานรอบใหม่ในการดำเนินกิจการ
รองประธานาธิบดีเพนซ์ออกจากอินโดนีเซียเมื่อวันที่ 21 เม.ย.และเดินทางไปที่ออสเตรเลียเป็นประเทศต่อไป ก่อนหน้านี้ เขาได้ไปเยือนเกาหลีใต้และญี่ปุ่นเพื่อปรับปรุงความสัมพันธ์ให้ราบรื่นขึ้นหลังจากวาทกรรมของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ส่งผลกระทบต่อทั้งสองประเทศ.