เลือกตั้งสหรัฐฯทำครอบครัวอเมริกันแตกแยก
จากการสัมภาษณ์ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง 10 คน ที่สนับสนุนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ 5 คน และสนับสนุนโจ ไบเดนจากพรรคเดโมแครต 5 คน มี 2 -3 คนที่ระบุว่าความสัมพันธ์กับครอบครัวล่มสลายหลังการดำรงตำแหน่งของทรัมป์ และส่วนใหญ่เชื่อว่าความสัมพันธ์นี้ได้ถูกทำลายไปตลอดกาล
ตลอดช่วง 4 ปีของการทำหน้าที่ประธานาธิบดีของทรัมป์เขย่าความรู้สึกของทั้งฝั่งผู้สนับสนุนเขาและฝั่งตรงข้าม
คนที่สนับสนุนทรัมป์ชื่นชมนโยบายกีดกันผู้อพยพอย่างรุนแรงของเขา การแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลสูงหัวอนุรักษ์นิยม การยกเลิกการประชุมสภาพอากาศ และวาทกรรมของเขา ซึ่งพวกเขาเรียกว่าเป็นการพูดตรงๆ
บรรดาผู้สนับสนุนเดโมแครตและนักวิจารณ์มองว่าทรัมป์ ซึ่งเป็นอดีตนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และทำรายการเรียลลิตี้โขว์มีบุคลิกนิสัยส่วนตัวที่เป็นภัยต่อประธิปไตยอเมริกัน เป็นนักโกหกต่อเนื่อง และเป็นคนเหยียดผิว ที่รับมือกับโรคระบาดโควิด-19 ผิดพลาด และทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 230,000 รายในสหรัฐฯ โดยทรัมป์โต้คำวิจารณ์เหล่านั้นว่าเป็น “เฟคนิวส์”
“ ฉันไม่คิดว่า ประเทศชาติจะเยียวยาได้ง่ายๆ แค่เปลี่ยนตัวประธานาธิบดีเท่านั้น ” Jaime Saal นักจิตบำบัดที่ Rochester Center for Behavioral Medicine ที่รัฐมิชิแกนให้ความเห็น
“ มันใช้เวลาและต้องใช้ความพยายาม และต้องมาจากทั้งสองฝ่าย ที่มีความตั้งใจจะปล่อยวางและเดินหน้าต่อไป”
เธอระบุว่า ความตึงเครียดในความสัมพันธ์ส่วนตัวของประชาชนเพิ่มขึ้นจากการเมือง สุขภาพและกระแสสังคมในสหรัฐฯ บ่อยครั้งที่เธอเห็นลูกค้าที่มีความขัดแย้งทางการเมืองกับพี่น้อง พ่อแม่ หรือพ่อแม่คู่ครอง หรือแม้แต่คู่ครองของตนเอง
การเลือกตั้งที่ทรัมป์ชนะครั้งแรกในปี 2559 ทำลายความสัมพันธ์ทั้งระหว่างเพื่อนและเพื่อนบ้าน โพสต์ในเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ก่อให้เกิดความตึงเครียดมากขึ้น
รายงานเมื่อเดือนก.ย.จาก Pew Research Center ที่เป็นกลางทางการเมืองพบว่า เกือบ 80% ของผู้สนับสนุนทรัมป์และไบเดนระบุว่า พวกเขามีเพื่อนที่เป็นผู้สนับสนุนฝั่งตรงข้ามน้อยมาก หรือไม่มีเลย
ผลการศึกษาจาก Gallup polling organization พบว่า ปีที่ 3 ของทรัมป์ในทำเนียบขาวก่อให้เกิดความแตกแยกมากที่สุด โดยขณะที่ 89% ของผู้สนับสนุนรีพับลิกันยอมรับการทำงานของทรัมป์ แต่มีเพียง 7% เท่านั้นจากฝั่งผู้สนับสนุนเดโมแครตที่คิดว่าทรัมป์ทำหน้าที่ได้ดี
Jay J. Van Bavel อาจารย์ด้านจิตวิทยาและประสาทวิทยาที่มหาวิทยาลัยนิวยอร์กระบุว่า ความแตกแยกทางการเมือง ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเชื้อชาติ แต่กลายเป็นประเด็นศีลธรรมจรรยา
“เพราะทรัมป์เป็นหนึ่งในคนที่สร้างความแตกแยก แบ่งฝักแบ่งฝ่ายมากที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกันเกี่ยวกับคุณค่าหลักและประเด็นต่างๆ ผู้คนไม่มีเจตนาที่จะประนีประนอม และนั่นไม่ใช่สิ่งที่คุณจะผลักดันได้ ”
Jacquelyn Hammond วัย 47 ปี ซึ่งเป็นบาร์เทนเดอร์ในนอร์ธ แคโรไลนา ไม่ได้พูดกับแม่ของเธอที่สนับสนุนทรัมป์อีกเลย และแม่ของเธอยังคอยโน้มน้าวไม่ให้ลูกชายของเธอคุยกับเธอด้วย
เธอระบุว่า เธออยากเยียวยาความสัมพันธ์ แต่เชื่อว่าจะเป็นเรื่องยาก แม้ทรัมป์จะแพ้การเลือกตั้งครั้งนี้ก็ตาม
Bonnie Coughlin วัย 65 ปี ที่โหวตให้พรรครีพับลิกันมาเป็นส่วนใหญ่ แต่ในครั้งนี้เธอตั้งใจจะโหวตให้ไบเดน เธอถูกเลี้ยงดูมาในครอบครัวอนุรักษ์นิยมเคร่งศาสนาในรัฐมิสซูรี และในตอนนี้ เธอระบุว่าความสัมพันธ์ของเธอกับพี่สาว พ่อ และลูกพี่ลูกน้อง ที่ล้วนแต่สนับสนุนทรัมป์ ย่ำแย่มาก
เธอบอกว่าเธอยังรักพวกเขา แต่ “ ฉันมองพวกเขาต่างออกไป เป็นเพราะพวกเขาชื่นชมยกย่องคนที่ใจหินมากๆ และเป็นคนที่ไม่มีความเห็นอกเห็นใจให้คนอื่นในทุกสถานการณ์ ”
เธอเสริมว่า “ และหากไบเดนชนะ ฉันไม่คิดว่าพวกเขาจะเงียบและยอมรับได้ง่ายๆ”