โอบามาเยือนเวียดนาม
เมื่อวันที่ 22 พ.ค. ประธานาธิบดีบารัค โอบามาของสหรัฐอเมริกาได้ออกเดินทางเพื่อมุ่งหน้าไปเยือนเวียดนาม ซึ่งจะเป็นการเยือนเพื่อเปลี่ยนรูปแบบความสัมพันธ์จากศัตรูเก่าให้กลายเป็นหุ้นส่วนใหม่เพื่อช่วยสหรัฐฯ ในการตั้งรับการแผ่ขยายอิทธิพลของจีนในภูมิภาคนี้
เป็นเวลา 4 ทศวรรษแล้วหลังจากสงครามเวียดนามจบลง ประธานาธิบดีโอบามาซึ่งเป็นผู้นำของสหรัฐฯ มีความตั้งใจ
ที่จะเยือนเวียดนามอย่างเป็นทางการ โดยเขาตั้งปณิธานที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงและความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับรัฐบาลคอมมิวนิสต์ ขณะที่พยายามจะให้กำลังใจและส่งเสริมด้านสิทธิมนุษยชนด้วย
คงมีความกดดันเกิดขึ้นบ้างกับนายโอบามาในหมายกำหนดการเยือนเวียดนามวันที่ 23 พ.ค.ที่เขาจะไปเยือนนครฮานอย คล้ายการย้อนกลับไปสู่สถานที่แห่งความทรงจำเมื่อ 32 ปีก่อน ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ยังคงหลงเหลือร่องรอยของสงครามเวียดนามในอดีตอยู่
การยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ที่เวียดนามเฝ้ารอมานาน อาจสร้างความโกรธเคืองให้กับจีน ซึ่งมองว่าสหรัฐฯ ให้การสนับสนุนกองทัพของเวียดนามที่มีความตึงเครียดกับจีนในกรณีพื้นที่พิพาทเหนือหมู่เกาะในทะเลจีนใต้ แต่ยังไม่มีถ้อยคำใดจากปากของผู้นำสหรัฐฯ เกี่ยวกับเรื่องนี้แต่อย่างใด
นายอีวาน เมเดรอส ที่ปรึกษาด้านเอเชียของผู้นำสหรัฐฯ กล่าวว่า “ไม่มีใครมีภาพลวงตาหรอก การเยือนเวียดนามในครั้งนี้ของผู้นำสหรัฐฯ เป็นการส่งสัญญาณให้จีนรับรู้เกี่ยวกับบทบาทของสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้และแสดงให้เห็นว่า สหรัฐฯ ให้ความสนใจกับท่าทีของจีนมาก”
โดยประธานาธิบดีโอบามา จะเป็นผู้นำสหรัฐฯ คนที่ 3 ติดต่อกันที่มาเยือนเวียดนาม ตั้งแต่มีการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตตั้งแต่ปี 2538 เป็นต้นมา
นายเบน รอดส์ รองที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของนายโอบามาให้ความเห็นว่า “สิ่งที่สหรัฐฯ ต้องการแสดงให้เห็นคือการยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และเวียดนาม ถึงแม้ทั้งสองประเทศจะมีความแตกต่างกันก็ตาม”
ทั้งนี้ ทางการสหรัฐฯ ต้องการให้เวียดนามเปิดกว้างทางด้านเศรษฐกิจและมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดขึ้นทางการทหาร ทั้งการเทียบเรือจอดของกองทัพสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นในท่าเรือของเวียดนาม ซึ่งเป็นกลยุทธที่สำคัญของเวียดนามบนท่าเรือคัมรันห์
ความขัดแย้งในอดีตเกี่ยวกับกองทัพสหรัฐฯ และเวียดนามเกิดจากสงครามเวียดนามที่สหรัฐฯ ทำให้ชาวเวียดนามต้องเสียชีวิตนับแสนรายและทหารของสหรัฐฯ ต้องพลีชีพไปประมาณ 58,000 ราย
ในนครโฮจิมินห์ (ชื่อเดิมคือไซ่ง่อน) ซึ่งเป็นเมืองหลวงและศูนย์กลางการค้าการลงทุนที่สำคัญ ประธานาธิบดีโอบามาจะพบกับบรรดาผู้ประกอบการที่จะได้รับผลดีจากข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก(TPP) ที่สหรัฐฯ เป็นผู้วางแนวคิดในการก่อตั้ง
ขณะที่เวียดนามต้องการมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดขึ้นกับสหรัฐฯ เจ้าหน้าที่รัฐของเวียดนามแสดงความแคลงใจว่าสหรัฐฯ อาจมีแผนและกำลังมองหาช่องทางที่จะค่อยๆสั่นคลอนการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์ของเวียดนาม.