เศรษฐีจีนทุ่มซื้ออสังหาในสหรัฐฯ
เมื่อวันที่ 15 พ.ค. ที่ผ่านมา มีการเผยแพร่ผลการศึกษาล่าสุดว่าชาวจีนกลายเป็นผู้ซื้อต่างชาติกลุ่มใหญ่ที่สุดในตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐอเมริกาในปี 2558 จากการทุ่มเงินหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เข้าไปในตลาดอสังหาริมทรัพย์
อ้างอิงจากผลการศึกษาพบว่า มีผู้ซื้อชาวจีนจำนวนมากทั้งในตลาดที่อยู่อาศัยและอาคารเพื่อการพาณิชย์ในปีที่แล้ว ทำให้มูลค่าการลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯ พุ่งสูงกว่า 110,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีที่แล้ว
เม็ดเงินจำนวนมหาศาลนี้ช่วยหนุนให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัวจากความตกต่ำที่เริ่มตั้งแต่ปี 2549 และวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2551
ในระหว่างปี 2553-2558 ผู้ซื้อชาวจีนทุ่มเงินมากกว่า 17,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เข้ามาในตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดย 50% ของมูลค่านี้เป็นการซื้อในปี 2558 เท่านั้น
แต่ในช่วงเวลาเดียวกัน เม็ดเงินอย่างน้อย 93,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไหลเข้ามาสู่ตลาดบ้านในสหรัฐฯ และใน 12 เดือนก่อนเดือนมี.ค. 2558 ซึ่งเป็นข้อมูลล่าสุดที่รวบรวมได้ มูลค่าการซื้อบ้านทั้งหมดอยู่ที่ 28,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ซึ่งทำให้ผู้ซื้อชาวจีนแซงหน้าชาวแคนาดา ซึ่งครองแชมป์เป็นผู้ซื้อชาวต่างชาติกลุ่มใหญ่ที่สุดในตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐอเมริกามายาวนาน
โดยชาวจีนนิยมที่จะซื้อที่อยู่ในตลาดบ้านในเมืองที่มีราคาแพงที่สุด คือ มหานครนิวยอร์ก ลอส แองเจลิส ซาน ฟรานซิสโก และซีแอทเทิล แต่นครชิคาโก ไมอามี่ และลาส เวกัส ก็ได้รับความนิยมไม่ยิ่งหย่อนกัน
จากการมุ่งเน้นซื้อบ้านในเมืองใหญ่ที่มีราคาแพง ทำให้ผู้ซื้อชาวจีนจ่ายในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดโดยเฉลี่ย โดยในปี 2558 ผู้ซื้อชาวจีนซื้อบ้านในสหรัฐฯ ด้วยราคา 832,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อหนึ่งหลัง เมื่อเปรียบเที่ยบกับราคาเฉลี่ยที่ชาวต่างชาติซื้อคือ 499,600 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อหลัง
ทั้งนี้ แรงจูงใจในการซื้อค่อนข้างกว้างมากคือ บางคนซื้อเก็บไว้เป็นหลังที่ 2 บางคนซื้อเพราะได้วีซ่านักลงทุน อีบี-5 ในสหรัฐฯ ส่วนบางคนซื้อไว้ปล่อยให้เช่าและเก็งกำไรเพื่อขายต่อ
อ้างอิงจากผลการศึกษา ส่วนใหญ่ชาวจีนที่ซื้อบ้านในสหรัฐ มักจะเป็นการซื้อส่วนบุคคล ไม่ใช่ในรูปแบบบริษัทตั้งแต่ปีที่แล้ว มีแรงจูงใจในการซื้อเพิ่มมากขึ้น จากการต้องการนำเงินออกนอกประเทศจีนและซื้อทรัพย์สินด้วยเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากความกังวลในค่าเงินหยวนที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้เงินหยวนอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนส.ค.