หยุดเกลียดมุสลิม เพราะเราเหมือนกัน
ข่าวการสังหารหมู่ในมัสยิดสองแห่งที่เมืองไครสต์เชิร์ชของนิวซีแลนด์เมื่อวันที่ 15 มี.ค. ทำให้หลายคนหดหู่ใจ แต่ที่น่าเศร้าคือ หลายคนไม่แปลกใจมากนัก
เพราะหลายคนเคยคาดว่า อาจมีเหตุรุนแรงเช่นนี้เกิดขึ้น แม้ว่าจะไม่นึกถึงว่าจะมีผู้เสียชีวิตมากถึงขนาดนี้ คือเป็นชาวมุสลิมถึง 50 ราย โดยทั้งผู้ชาย ผู้หญิงและเด็กต่างถูกสังหารอย่างเลือดเย็นและมีการถ่ายไลฟ์พฤติกรรมที่เลวร้ายบนโซเชียลมีเดียอีกด้วย
โรคกลัวมุสลิมเป็นกระแสที่แรงขึ้น และเคยเป็นมาก่อนแล้ว โดยมุสลิมถูกกล่าวหาว่าเลวร้าย ถูกลดค่าเหมือนไม่ใช่มนุษย์และถูกทำให้กลายเป็นแพะรับบาปจากสังคมทั่วโลกหลังเหตุสะเทือนขวัญ 9/11 ที่สหรัฐฯกล่าวหาว่ากลุ่มก่อการร้ายมุสลิมเป็นผู้ลงมือ
ไม่มีคนกลุ่มใดที่ถูกลงโทษสำหรับบาปอย่างเป็นระบบและได้รับการยอมรับเช่นนี้มาก่อน ทั้งนักการเมือง นักวิจารณ์ ผู้ทรงอิทธิพลและสื่อฝ่ายขวา ต่างทำสงครามวาทกรรมกับชาวมุสลิมจนกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา
โดยชายที่ทรงอิทธิพลสูงสุดในโลกอย่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ หาหนทางแบนไม่ให้หลายชาติมุสลิมเดินทางเข้าสหรัฐฯ อดีตรมว.ต่างประเทศของอังกฤษอย่างบอริส จอห์นสัน เคยพูดเรื่องตลกที่ดูแคลนสตรีมุสลิม โดยบอกว่าพวกเธอเหมือนกล่องรับจดหมาย
หลังจากความเห็นและพฤติกรรมแย่ๆแบบนี้ Tell Mama ซึ่งเป็นองค์การที่บันทึกเหตุที่เกิดจากความเกลียดชังมุสลิมรายงานว่า การโจมตีสตรีมุสลิมมีมากขึ้น
หลายคนมักล้อเลียนการโพกฮิญาบของสตรีมุสลิม โดยเฉพาะเมื่อเธอไปรับส่งลูกๆที่โรงเรียน
เคยลองคิดถึงภาพที่เด็กๆกลัวและสับสนกับเด็กมุสลิมบ้างหรือไม่ ? ขอชื่นชมหลายคนที่ระบุว่า โรคกลัวมุสลิมไม่มีจริง และทำเหมือนว่ามันมี แต่จริงๆคือทุกคนกลัวการก่อการร้ายมากกว่า
ที่จริงแล้ว ชาวมุสลิมส่วนใหญ่ ซึ่งบางส่วนเป็นผู้อพยพ มักก้มศีรษะอย่างอ่อนน้อม อยากมีชีวิตเงียบๆและสงบสุข และอยู่ให้ห่างจากปัญหา ชาวมุสลิมไม่อยากเป็นคนก่อปัญหา ไม่ได้อพยพเข้ามาเพื่อรุกราน พวกเขาเข้ามาเพื่อแสวงหาชีวิตที่ดีกว่า
ชาวมุสลิมอพยพเป็นได้ทั้งพนักงานร้านสะดวกซื้อ ขับรถแท็กซี่ เป็นบริกรร้านอาหาร หรือเป็นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่ดูแลคนไข้ แต่พวกเขากลับกลายเป็นเหยื่อของการคุกคาม ความเกลียดชัง และตอนนี้คือการก่อการร้าย
การโจมตี ทั้งทางวาจาและการกระทำกับชาวมุสลิมเกิดขึ้นตลอด แต่สังคมดูจะไม่สนใจ ชีวิตของชาวมุสลิมเหมือนพลเมืองชั้นสอง หรือถูกจำกัดความให้เป็น ‘คนเลว’
แม้เหตุกราดยิงที่มัสยิดเมืองไครสต์เชิร์ชของนิวซีแลนด์ จะทำให้เป็นวันที่มืดมน แต่ก็ยังมีแสงสว่างอยู่บ้าง เพราะมีผู้คนทั่วโลกที่แสดงออกถึงความมีจิตใจดีงามและความเป็นหนึ่งเดียวกันกับชาวมุสลิม หากเราสามารถอดบทเรียนจากเหตุสะเทือนขวัญนี้ได้ บทเรียนที่ดีที่สุดคือ การหยุดความเกลียดชังและมองว่าชาวมุสลิมก็เป็นมนุษย์เหมือนเราทุกคน.