สหรัฐฯขาดดุลการค้าจีนหนักกว่าเดิม
แม้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯจะทำสงครามการค้ากับจีนอย่างจริงจังในปี 2561 แต่เมื่อวันที่ 14 ม.ค. จีนประกาศว่ามูลค่าที่จีนเกินดุลการค้าสหรัฐฯ กลับพุ่งสูงที่สุดในรอบกว่าทศวรรษ
โดยตัวเลขที่จีนเกินดุลการค้าสหรัฐฯ เติบโตถึง 17% เมื่อเทียบกับปีก่อนมาอยู่ที่ 323,320 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 10.37 ล้านล้านบาท ในปี 2561 อ้างอิงจากข้อมูลของรัฐบาลจีน นับเป็นมูลค่าที่สูงเป็นประวัติการณ์ทำลายสถิติย้อนหลังไปถึงปี 2549 อ้างอิงจากสื่อรอยเตอร์
จำนวนที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าจีนดูเหมือนจะมากกว่าตัวเลขบ่งชี้ โดยจีนคำนวณจำนวนที่ได้ ด้วยการใช้วิธีการที่แตกต่าง บางครั้งไม่รวมสินค้าที่ส่งไปขายสหรัฐฯผ่านประเทศอื่นๆ
การส่งออกจากจีนไปสหรัฐฯ เติบโตขึ้น 11.3% ในปี 2561 ขณะที่การนำเข้าจากสหรัฐฯมาที่จีนเพิ่มขึ้นเพียง 0.7% ในช่วงเวลาเดียวกัน
รัฐบาลจีนรายงานว่า มูลค่าการเกินดุลการค้าของจีนในปี 2561 อยู่ที่ 351,760 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 11.28 ล้านล้านบาท ขณะที่การส่งออกโดยรวมของปี 2561 เติบโตขึ้น 9.9% จากปี 2560
แม้มูลค่าการเกินดุลการค้าสหรัฐฯอาจเพิ่มขึ้น แต่ถือได้ว่าเป็นตัวเลขการเกินดุลการค้าของจีนที่ตกต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมา และเป็นการเติบโตของการส่งออกที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมา อ้างอิงจากบันทึกของสื่อรอยเตอร์
ผอ.กรมศุลกากรของจีนระบุเมื่อวันที่ 14 ม.ค.ว่า ที่น่ากังวลมากกับการค้าปีนี้คือความผันผวนภายนอก และการกีดกันทางการค้า โดยคาดการณ์ว่าการค้าจะชะลอตัวลงในปี 2562
หลี่กุยเหวิน โฆษกกรมศุลกากรระบุในการแถลงข่าวว่า เศรษฐกิจจีนจะเติบโตอย่างมั่นคงในปี 2562 แต่ต้องเผชิญกับแรงต้านจากภายนอก
ยอดส่งออกโดยรวมของจีนในเดือนธ.ค.ลดลง 4.4% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ถือเป็นตัวเลขประจำเดือนที่ลดลงมากที่สุดในรอบ 2 ปี อ้างอิงจากข้อมุลของกรมศุลกากรเมื่อวันที่ 14 ม.ค. ขณะที่ตัวเลขนำเข้าหดตัวลงในเดือนธ.ค. คือดิ่งลง 7.6% ถือว่าลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.ปี 2559
ส่งผลทำให้จีนเกินดุลการค้า 57,060 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้นจากตัวเลขเดิม 44,710 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนพ.ย.
โดยยอดส่งออกลดลงจากการเติบโตทั่วโลกที่อ่อนแรงลง และแรงฉุดจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ขณะที่การนำเข้าลดลงจากดีมานด์ในประเทศที่ลดลงเช่นกัน
ทั้งนี้ ในเดือนธ.ค. จีนเกินดุลการค้าสหรัฐฯ 29,870 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงจากเดือนพ.ย.คือ 35,540 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ.