ญีปุ่นต้องยอมสหรัฐฯ เลี่ยงสงครามการค้า
นายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ แห่งญี่ปุ่น ซึ่งเพิ่งชนะการเลือกตั้งสมัยที่ 3 ต้องพยายามยอมรับและไม่ล้ำเส้นเมื่อพบกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า หากญี่ปุ่นต้องการหลีกเลี่ยงสงครามการค้าดับสหรัฐฯ
ต้นเดือนก.ย. ผู้นำสหรัฐฯ ส่งสัญญาณว่าเขาจะมีมาตรการภาษีอัตรา 25% กับรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์นำเข้าจากญี่ปุ่น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ที่จะลดจำนวนการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯที่มีกับหลายประเทศ ความเคลื่อนไหวนี้จะเป็นเครื่องมือต่อรองสำหรับสหรัฐฯเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการมานานจากญี่ปุ่นคือข้อตกลงการค้าเสรี
อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นคัดค้านการทำข้อตกลงการค้าเสรีทวิภาคีและต้องหาหนทางอื่นเพื่อเอาใจทรัมป์ นักกลยุทธ์กล่าวกับสื่อ CNBC
“ผมไม่คิดว่าจะมีเหตุผลอะไรที่จะไม่ยอมรับทรัมป์ ตอนนี้ ญี่ปุ่นต้องยอมรับการเข้าถึงตลาดอย่างจริงจัง หรือเข้าสู่การพูดคุยเรื่อง FTA ซึ่งเป็นสองเรื่องที่ญี่ปุ่นพยายามหลีกเลี่ยงมาตลอดตั้งแต่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง” Tobias Harris รองประธานของ Teneo Intelligence ระบุ
คาดการณ์ว่าเรื่องนี้จะเป็นประเด็นสำคัญในการประชุมสุดยอดผู้นำของนายกฯอาเบะกับประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งมีกำหนดในวันที่ 26 ก.ย.ในนครนิวยอร์ก
มาตรการภาษีจะทำความเสียหายทางเศรษฐกิจกับญี่ปุ่น เนื่องจากรถยนต์โดยสารมีสัดส่วนประมาณ 30% ของรถยนต์ส่งออกจากญี่ปุ่นไปสหรัฐฯ นอกจากนี้ยังเป็นเรื่องน่าขายหน้าในทางการเมืองของนายกฯอาเบะด้วย เนื่องจากเขามักแสดงตัวว่าเขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้นำสหรัฐฯ
หากทรัมป์ทำตามคำขู่จริง อาเบะจะพบว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีมาตรการจะโต้กลับสหรัฐฯ และอาจส่งผลกับความสัมพันธ์ทวิภาคี Harris ระบุ ในกรณีปัจจุบันของสหรัฐฯกับจีน จีนสามารถโต้ตอบด้วยมาตรการภาษีเช่นเดียวกัน
“ เห็นได้ชัดว่าอาเบะพยายามหลีกเลี่ยงสถานการณ์เหล่านี้” Harris ให้ความเห็น
ทั้งนี้ ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯเป็นอันดับ 3 รองจากจีนและเม็กซิโก อ้างอิงจากข้อมูลของสำนักสำมะโนประชากร
“ มาตรการภาษีอัตรา 25% กับรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ส่งออกของญี่ปุ่นจะหั่นกำไรของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ลงเกือบ 50%” Jesper Koll ซีอีโอของ Wisdom Tree Japan KK ระบุ “ เป็นภัยคุกคามภายนอกครั้งใหญ่ที่ญี่ปุ่นกำลังเผชิญ และทรัมป์รู้ดี เขากำลังต่อรองจากสถานะที่แข็งแกร่งของสหรัฐฯ ”
โดยผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นว่า การประนีประนอมเป็นสิ่งที่ญี่ปุ่นเสนอให้สหรัฐฯได้ “ ประธานาธิบดีสหรัฐฯต้องการให้ตัวเองดูเหมือนผู้ชนะ และคำถามคือ สิ่งที่อาเบะเสนอจะทำให้ทรัมป์ดูเหมือนผู้ชนะหรือไม่” Koll ระบุ โดยเสริมว่า “ ญี่ปุ่นมีหลายอย่างในกระเป๋าที่สามารถเสนอเพื่อทำให้ทรัมป์ดูดีได้ อย่างเช่น อาเบะอาจเสนอซื้อสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น เช่น ถั่วเหลือง เนื้อวัว และอาวุธป้องกันประเทศ”
แพ็กเกจการซื้อสินค้าเกษตรอาจช่วยให้ทรัมป์ชนะใจฐานเสียงสำคัญในสหรัฐฯคือเกษตรกรชาวอเมริกันในการเลือกตั้งมิดเทอมในเดือนพ.ย.นี้
Harris ให้ความเห็น “ นี่อาจเป็นข้อตกลงที่รัฐบาลทรัมป์ยอมรับ แล้วจะได้เจรจาประเด็นอื่นต่อไป “
นอกจากนี้ อาเบะยังสามารถผลักดันเรื่องการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในสหรัฐฯด้วย Koll ระบุ
นักวิเคราะห์บางคนยังมองในแง่ดีสำหรับทางออก เนื่องจากญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ที่แข็งแกร่งกับสหรัฐฯ
โดยสำนักคิดอย่าง Center for Strategic and International Studies ระบุว่า ญี่ปุ่นมีอำนาจต่อรองบางอย่าง “ ประสบการณ์ของอาเบะและข้อผูกพันที่ทำให้พันธมิตรสหรัฐฯ – ญี่ปุ่นแข็งแกร่งสามารถช่วยจัดระบบนโยบายสหรัฐฯ ในภูมิภาค”
“ อาเบะสามารถเน้นความสำคัญของญี่ปุ่นที่มีต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯและชี้ว่า การริเริ่มเจรจาเรื่องข้อตกลงการค้าทวิภาคีในเดือนส.ค.เป็นเหมือนเครื่องมือในการเข้าถึงความคับข้องใจใดๆ ” สำนักคิดแห่งนี้ระบุ โดยอ้างถึงการเจรจาในวันที่ 8 ส.ค.ระหว่างโทชิมิตสึ โมเทหงิ รมว.ด้านการฟื้นฟูเศรษฐกิจญี่ปุ่น และผู้แทนการค้าสหรัฐฯ Robert Lighthizer
จนถึงตอนนี้ นักวิเคราะห์ไม่เชื่อว่าทรัมป์จะทำตามมาตรการที่ขู่ไว้กับญี่ปุ่นจริง “ ประธานาธิบดีทรัมป์ดูจะมุ่งเน้นกับจีนและประเด็นในประเทศมากกว่า มีความเป็นไปได้น้อยที่จะทำสงครามการค้ากับญี่ปุ่น ผมคิดว่าญี่ปุ่นจะยังคงปลอดภัยอยู่ ” ทาคุจิ โอคุโบะ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ที่ Japanm Macro Advisors ให้ความเห็น.