ยอดผู้ใช้ Netflix เพิ่มขึ้นกว่า 8 ล้าน
บริษัท Netflix ระบุเมื่อวันที่ 22 ม.ค.ที่ผ่านมาว่า ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2560 ทางบริษัทมีผู้ติดตามเพิ่มมากขึ้นกว่า 8 ล้านราย ทำให้กลายเป็นไตรมาสที่มีการติดตามเพิ่มมากขึ้นที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท
ทางบริษัทได้ทำสถิติการสร้างลูกค้าใหม่อย่าง “แข็งแกร่งกว่าที่คาดไว้” ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากผลงานสร้างภาพยนตร์ออริจินัลของทางบริษัท โดยรวมถึง “Stranger Things” ที่กลายเป็นผลงานอันโด่งดังของ Netflix โดยได้มีภาค 2 กลับมาฉายต่อเนื่องในไตรมาสเดียวกัน
จำนวนผู้ติดตามใหม่ส่วนใหญ่มาจากต่างประเทศ เนื่องจากทาง Netflix ได้ขยายเข้าสู่ตลาดต่างประเทศทั่วโลก ทาง Netflix มีผู้ใช้ใหม่ในสหรัฐฯเพิ่ม 2 ล้านราย และอีก 6.36 ล้านรายจากต่างประเทศ
หุ้นของทาง Netflix พุ่งทะยานขึ้นกว่า 8% หลังชั่วโมงซื้อขายในวันที่ 22 ม.ค.
หุ้นของบริษัท Netflix เพิ่มขึ้นกว่า 50% ในปี 2560 และยังคงไต่สูงขึ้นในสัปดาห์แรกของปี 2561 ถือเป็นแง่ดีสำหรับการเป็นผู้นำในตลาดผู้ให้บริการสตรีมมิง
ในไตรมาสล่าสุด ทาง Netflix ได้มีการเพิ่มราคาให้บริการ 10% ทำให้ค่าใช้จ่ายมาตรฐานของการให้บริการอยู่ที่ 10.99 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อเดือน หรือราว 349 บาท ในการประชุมทางโทรศัพท์กับ Reed Hastings ซีอีโอของ Netflix ระบุว่า การที่ค่าบริการเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลเพียงเล็กน้อยกับการสมัครใช้บริการและการเติบโตของบริษัท Netflix
กุญแจสู่ความสำเร็จอย่างต่อเนื่องของทางบริษัท Netflix นั่นก็คือการลงทุนในคอนเทนต์ออริจินัล
อย่างการผลิตรายการชื่อดังอย่าง “Orange is The New Black” และ “The Crown” ทางบริษัทระบุว่าได้ใช้เงินมากถึง 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯหรือราว 254,084 ล้านบาท สำหรับรายการต่าง ๆ ภายในปีนี้ โดยได้ตั้งใจว่าจะใช้เงินราว 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 63,523 ล้านบาทในด้านการตลาด
แต่ก็ยังมีเหตุบางอย่างที่สร้างความกังวล ในเดือนก่อน ทางบริษัท Disney ได้ประกาศซื้อบริษัท 21st Century Fox เป็นราคา 52,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 1.65 ล้านล้านบาท ซึ่งทำให้ Disey มีอำนาจในการเข้าแข่งขันในตลาดผู้ให้บริการสตรีมมิงกับ Netflix มากยิ่งขึ้น โดยทาง Disney ระบุว่าจะทำการดึงคอนเทนต์บางส่วนมาจาก Netflix
โดยนอกจากเหตุผลดังกล่าว ยังมีการต่อสู้กับกระแสผลกระทบของนักแสดงชายในวงการฮอลลิวูดที่ถูกกล่าวหาในคดีล่วงละเมิดทางเพศ
ทาง Netflix จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่าย “อย่างไม่คาดคิด” กับคอนเทนต์ที่ “ตัดสินใจว่าจะไม่ผลิตต่อ” ถึง 39 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 1.23 พันล้านบาท แต่ไม่ได้มีการระบุว่ารายการหรือภาพยนตรเรื่องใดบ้างที่ถูกเก็บค่าใช้จ่ายบ้าง.