เกาหลีใต้ยันไม่มีสงครามในคาบสมุทรเกาหลี
ประธานาธิบดีมุน แจ อินแห่งเกาหลีใต้แถลงเมื่อวันที่ 17 ส.ค.ว่า จะไม่มีสงครามในคาบสมุทรเกาหลี ถึงแม้จะยังมีความตึงเครียดสูงจากโครงการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือก็ตาม
“ ชาวเกาหลีใต้ทุกคนทำงานหนักร่วมกันเพื่อกอบกู้และสร้างประเทศขึ้นมาใหม่จากซากปรักหักพังของสงครามเกาหลีที่เลวร้ายในอดีต” ประธานาธิบดีมุนกล่าวในการแถลงข่าวครั้งแรกในรอบ 100 วันที่เขาทำหน้าที่ปกครองประเทศในทำเนียบ
“ ผมจะป้องกันไม่ให้เกิดสงครามในทุกรูปแบบ ดังนั้น ผมจึงต้องการให้ประชาชนชาวเกาหลีใต้เชื่อมั่นว่า จะไม่มีสงครามเกิดขึ้นอีก”
เมื่อวันที่ 15 ส.ค. ที่ผ่านมา ในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ในโทรทัศน์ ประธานาธิบดีมุนกล่าวว่า จะไม่มีความเคลื่อนไหวจากทางกองทัพเกาหลีใต้ในคาบสมุทรเกาหลีโดยปราศจากความยินยอมของประชาชนและรัฐบาลจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสงครามในทุกรูปแบบ
ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีมุน ซึ่งเป็นอดีตนักกฎหมายเพื่อสิทธิมนุษยชนและนักการเมืองฝ่ายซ้าย เคยเสนอให้มีการเปิดโต๊ะเจรจากับเกาหลีเหนือ นอกเหนือจากมาตรการคว่ำบาตร ซึ่งเป็นวิธีการที่ก่อให้เกิดความกังวลว่าอาจสร้างความแตกแยกกับทางสหรัฐฯ
แต่นับตั้งแต่เขาเข้ารับตำแหน่งผู้นำประเทศ ท่าทีของเขาถูกปฏิเสธจากทางเกาหลีเหนือ เขาจึงลดระดับความเร่งรีบของการเจรจา “ ผมไม่คิดว่า เราต้องรีบร้อนในตอนนี้ ” เขากล่าว
หากมีการเจรจาเกิดขึ้นจริง เขากล่าวว่า “ เชื่อได้แน่ว่าจะส่งผลที่ดี แต่อย่างน้อย เกาหลีเหนือควรจะหยุดพูดจาหรือแสดงท่าทียั่วยุอารมณ์ไว้ก่อน เพื่อเป็นการสร้างบรรยากาศที่ดีสำหรับการเจรจา”
โดยผู้นำเกาหลีใต้ระบุว่า เขากำลังพิจารณาว่าจะส่งผู้แทนทูตพิเศษไปที่กรุงเปียงยางของเกาหลีเหนือ
นอกจากนี้ เขายังเสริมว่า “ ผมจะมองว่า เกาหลีเหนือล้ำเส้นแดง หากมีการยิงจรวดขีปนาวุธพิสัยไกลข้ามทวีปอีกครั้ง หรือมีการใส่ชิ้นส่วนอาวุธนิวเคลียร์ในหัวจรวด”
“ หากเกาหลีเหนือมีความเคลื่อนไหวที่เป็นการยั่วยุอีกครั้ง จะต้องเผชิญกับมาตรการคว่ำบาตรที่รุนแรงยิ่งขึ้น และจะไม่สามารถเอาตัวรอดได้ ผมขอเตือนเกาหลีเหนือให้ยุติเกมการเล่นพนันที่เสี่ยงอันตรายนี้”
เมื่อวันที่ 15 ส.ค. ประธานาธิบดีคิม จอง อึน แห่งเกาหลีเหนือแถลงว่า จะเฝ้าจับตามองอีกสักระยะก่อนที่จะตัดสินใจบุกโจมตีฐานทัพสหรัฐฯบนเกาะกวม ซึ่งเป็นคำแถลงที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯชื่นชมว่า เป็นการตัดสินใจที่ฉลาด
อย่างไรก็ตามทั้งเกาหลีใต้และสหรัฐฯยังคงจะเดินหน้าในการร่วมซ้อมรบประจำปีที่จะมีขึ้นเป็นเวลา 10 วันโดยจะเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 21 ส.ค.นี้ และมีทหารของทั้งสองประเทศเข้าร่วมจำนวนหลายพันคน.