ไม่เชื่อทรัมป์ลดภาษีนิติบุคคลเหลือ 15% ได้
ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีสหรัฐฯ การเงินและธุรกิจจำนวนน้อยมากที่คาดว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะลดภาษีนิติบุคคลลงมาเหลือ 15% ได้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปภาษี อ้างอิงจากผลสำรวจของ Deloitte Tax LLP ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 8 ส.ค.ที่ผ่านมา
โดยโพลล์สำรวจจัดทำจากการสำรวจความคิดเห็นของมืออาชีพ 3,100 คนจากภาคเอกชนที่คาดการณ์เกี่ยวกับการปฏิรูปภาษี ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความคิดเห็นในแง่บวกที่มีน้อยกว่าคำแถลงต่อสาธารณะจากคณะทำงานบริหารของประธานาธิบดีทรัมป์ และส.ส.ในสภา
ประธานาธิบดีทรัมป์และสมาชิกพรรครีพับลิกันกำลังผลักดันให้มีการปรับลดภาษีนิติบุคคลลงจากเดิม 35% มาอยู่ที่ 15 -20% โดยกล่าวว่า การปรับลดภาษีจะเป็นการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจครั้งใหญ่ และความสามารถในการแข่งขันของสหรัฐฯ ในไม่กี่ปีข้างหน้า
โดยน้อยกว่าครึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามที่มองว่า อัตราภาษีนิติบุคคลที่ลดลงเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญของการปฏิรูปภาษี แต่เกือบ 40% ทำนายว่า อัตราภาษีนิติบุคคลน่าจะลดลงมาอยู่ที่ 25% จากความท้าทายด้านการเมืองและงบประมาณที่มีต่อการปฏิรูปภาษี
ทั้งนี้ 31% ของผู้ถูกสำรวจจาก Deloitte ในวันที่ 18 ก.ค.คาดว่า ภาษีนิติบุคคลจะลดลงมาเหลือ 20%
และมีเพียง 5.3% เท่านั้นที่เชื่อว่า ประธานาธิบดีทรัมป์จะสามารถผ่านร่างกฎหมายภาษีนิติบุคคลที่ปรับลดลงมาเหลือเพียง 15% ได้
พรรครีพับลิกันพยายามผลักดันที่จะให้มีการปรับลดภาษีนิติบุคคลมาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยอดีตประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกนจะหมดวาระลง โดยความพยายามที่ทะเยอทะยานจะออกเป็นกฎหมายของฝ่ายบริหารในทำเนียบขาวจะมีการอภิปรายชี้แจงในเดือนก.ย.นี้ และโหวตลงมติในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาในช่วงสิ้นเดือนพ.ย.ปีนี้
โดยประมาณ 74% ของผู้ที่ตอบแบบสำรวจยังคงแคลงใจ หรือไม่เชื่อมั่นว่า การปฏิรูปภาษีจะบรรลุผลเป็นกฎหมายได้ภายในปี 2560 นี้ ขณะที่น้อยกว่า 19% เชื่อมั่นว่ากฎหมายปฏิรูปภาษีจะเกิดขึ้นได้ในปีนี้
มากกว่า 63% เชื่อว่า การประนีประนอมเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสภาคองเกรสเพื่อผลักดันให้เกิดเป็นกฎหมายปฏิรูปภาษี จนถึงตอนนี้ คุณภาพของตัวแทนจากพรรครีพับลิกันในสภายังคงไม่เห็นผลชัดเจนเป็นรูปธรรม
ขณะที่ 10% มองว่า ความเป็นผู้นำของทรัมป์ การสนับสนุนจากภาครัฐ และความสามารถในการรับรู้ได้ถึงวิกฤตเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่สำคัญ
ในแง่ของการเติบโต ประมาณ 16% ของผู้ตอบแบบสำรวจเชื่อว่า การปฏิรูปภาษีมีแนวโน้มที่จะช่วยหนุนให้เศรษฐกิจสหรัฐฯเติบโต
ทั้งนี้ การปฏิรูปภาษีในระดับนานาชาติ และการเร่งใช้จ่ายในด้านอุปกรณ์ในภาคส่วนการผลิตต่างมีส่วนช่วยขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจสหรัฐฯเติบโตได้ในระดับตัวเลขหนึ่งหลัก.