3 พรรคร่วม ร่อนแถลงการณ์ หนุนแก้ รธน. ปกป้องสถาบัน
ทามกลางสถานการณ์การเมืองอันร้อนแรง 3 พรรคร่วมรัฐบาล ออกแถลงการณ์หวังคลายสถานการณ์ ยืนยัน สนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปกป้อง เทิดทูนสถาบันชาติ
เริ่มจาก พรรคพลังประชารัฐ ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ระบุถึงสถานการณ์การเมืองในขณะนี้ว่า พรรคพลังประชารัฐได้ติดตามสถานการณ์ทางการเมืองอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด ซึ่งพรรคมีความเป็นห่วงต่อสถานการณ์บ้านเมืองเช่นเดียวกับประชาชนคนไทยทุก ๆ คน โดยเฉพาะกรณีที่มีผลกระทบต่อสถาบัน จึงขอแถลงจุดยืนของพรรคพลังประชารัฐ ดังนี้
1.พรรคพลังประชารัฐยึดมั่นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และ เทิดทูนสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.พรรคพลังประชารัฐมีความมุ่งมั่นที่จะทำให้พี่น้องประชาชนอยู่ดีกินดี มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
3.พรรคพลังประชารัฐ สนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญโดยกระบวนการทางรัฐสภา และเห็นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องไม่กระทบหมวด 1 และหมวด 2 อันเป็นลักษณะสำคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของไทย ซึ่งทุกฝ่ายมีความเห็นตรงกันว่าจะธำรงรักษาการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ขณะที่พรรคภูมิใจไทย ประกาศ 3 จุดยืน 1. ปกป้อง เทิดทูนสถาบัน 2. แก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ให้ประชาชนร่วมร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ 3. แก้ปัญหาปากท้องประชาชน
โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ประกาศจุดยืนของพรรค ต่อสถานการณ์การเมืองที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ ว่า พรรคภูมิใจไทย เป็นพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์ปกป้องและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ มาตั้งแต่วันแรกของการก่อตั้ง และจะยึดมั่นอุดมการณ์นี้ไม่มีเปลี่ยนแปลง
สำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เป็นผลมาจากรัฐธรรมนูญซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับของประชาชนจำนวนมากพอสมควร แม้ว่าจะผ่านการทำประชามติของประชาชน มาแล้ว แต่เมื่อนำมาใช้แล้วพบว่าก่อให้เกิดปัญหาก็ต้องแก้ไข ซึ่งพรรคภูมิใจไทย สนับสนุนให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 เพื่อให้มีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ สสร. ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับกันใหม่ ยกเว้นหมวดที่ 1 และหมวดที่ 2 เพื่อรักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข
“การแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องของประชาชนผู้ชุมนุม จะทำให้การเผชิญหน้ากันลดลง และรัฐสภาจะเป็นเวทีการแก้ปัญหาความขัดแย้งของประชาชน ที่ดีที่สุด”
หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ขณะนี้ปัญหาของประเทศไทย นอกเหนือจากปัญหาการเมือง ยังมีปัญหาเศรษฐกิจ หรือ ปัญหาปากท้องประชาชน อันเนื่องมาจากผลกระทบของโรคระบาดโควิด-19 ซึ่งทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก พรรคภูมิใจไทยมีความเป็นห่วงปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลต่อรายได้ของประชาชน ที่ลดลง รวมทั้งการว่างงาน ซึ่งจะรุนแรงมากขึ้น จึงมีความมุ่งมั่นที่จะทำงานเพื่อแก้ปัญหาปากท้องประชาชน ซึ่งเป็นจุดยืนที่สำคัญอีกประการหนึ่งในการทำงานของพรรคภูมิใจไทย เพื่อประชาชน
ทางด้านพรรคประชาธิปัตย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงภายหลังการประชุมกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้ติดตามสถานการณ์ทางการเมืองอย่างใกล้ชิดมาโดยลำดับ พรรคมีความเป็นห่วงต่อสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันเช่นเดียวกับประชาชนคนไทยทั่วทั้งประเทศ โดยเฉพาะกรณีที่มีผลกระทบต่อสถาบัน พรรคประชาธิปัตย์จึงขอประกาศจุดยืนของพรรคให้ทราบดังต่อไปนี้
1. พรรคประชาธิปัตย์ยึดมั่นในการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
“พรรคประชาธิปัตย์เทิดทูนสถาบัน ชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ ซึ่งถือเป็นอุดมการณ์ ตั้งแต่ก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์มาเมื่อปี 2489 จนถึงปัจจุบันก็ยังคงยึดมั่นไม่มีเปลี่ยนแปลง”
2. พรรคเห็นว่าการแก้ปัญหาทางการเมืองในปัจจุบันควรใช้แนวทางสันติ ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ว่าจะโดยฝ่ายใดก็ตาม
3. พรรคเห็นว่าสถานการณ์ทางการเมืองควรจะได้มีการใช้รัฐสภาเป็นเวทีหาทางออกให้กับประเทศ ภายใต้การรับฟังและการแสวงหาความร่วมมือ ร่วมใจ และการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ โดยมีความเห็นเพิ่มเติมที่เป็นรูปธรรมว่า ต่อสถานการณ์ในขณะนี้รัฐบาลควรจะได้เป็นเจ้าภาพในการเปิดสภาสมัยวิสามัญเพื่อให้สามารถดำเนินสิ่งที่รัฐสภาจะได้เป็นที่หาทางออกให้กับประเทศได้อย่างชัดเจน
กล่าวคือ ประการที่หนึ่ง เห็นว่าควรจะใช้เวทีรัฐสภาในการเร่งรัดให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยเห็นควรให้มีการเร่งดำเนินการเข้าสู่การพิจารณาในวาระที่หนึ่งขั้นรับหลักการในทันทีที่สามารถทำได้และไม่ควรมีเงื่อนไขใดๆ ที่จะนำไปสู่การทำให้สังคมเกิดความเข้าใจว่ามีการยื้อเวลาไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการที่จะนำไปสู่การทำประชามติก่อนรับหลักการในวาระที่หนึ่งเพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ได้ระบุไว้ชัดเจนอยู่แล้วว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญสามารถดำเนินการได้และจะต้องทำประชามติก็ต่อเมื่อได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาในวาระที่สามไปแล้วก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ เท่านั้นที่จำเป็นจะต้องนำไปสู่การทำประชามติ
ประการที่สอง พรรคประชาธิปัตย์เห็นว่าควรจะได้มีการใช้มาตรา 165 ของรัฐธรรมนูญเป็นการแสวงหาทางออกให้กับสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันรัฐธรรมนูญมาตรา 165 ระบุว่าให้คณะรัฐมนตรีสามารถเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อรับฟังความเห็นจากสมาชิกรัฐสภาโดยไม่มีการลงมติเพื่อหาทางออกให้กับประเทศและหาทางออกให้กับสถานการณ์ที่จำเป็นได้
ประการที่สาม พรรคประชาธิปัตย์เห็นว่าภายหลังจากการรับฟังความเห็นของของทุกฝ่ายควรจะได้มีการตั้งคณะทำงานหรือตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมารับฟังความเห็นและแสวงหาทางออกร่วมกันกับภาคส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายค้านสมาชิกวุฒิสภา รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมที่ต้องการให้ความร่วมมือในการแสวงหาทางออกของประเทศร่วมกัน
เพื่อทำให้สิ่งเหล่านี้ปรากฏเป็นจริงได้ นอกจากผู้ที่เกี่ยวข้องของพรรคในคณะรัฐบาลจะได้นำเรื่องนี้ไปหารือกับคณะรัฐมนตรีแล้ว ในส่วนของสภาก็จะได้มอบหมายให้วิปของพรรคไปหารือกับวิปของพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อให้มีความเห็นร่วมกันในการที่จะดำเนินการตามแนวความคิดนี้ต่อไปเพื่อหาทางออกร่วมกันให้กับสถานการณ์ของบ้านเมืองและสถานการณ์ของประเทศในปัจจุบันให้เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย