ดราม่า “ยาบ้า” ไม่ระคายผิว “ไพบูลย์”
“ผมผลักดันให้ยกร่างประมวลกฎหมายยาเสพติด เพื่อเป็นการปฏิรูปกฎหมายยาเสพติดทั้งระบบ เพราะการแก้ไขปัญหายาเสพติดต้องดำเนินการให้ครบทั้ง 3 ด้าน คือ ปราบปราม ป้องกัน และบำบัด
แต่ที่ผ่านมาการบำบัดทำไม่ได้ติดขัดที่กฎหมาย ดังนั้นถึงเวลาแล้วหรือไม่ที่จะเปลี่ยนเมทแอมเฟตามีน จากยาเสพติดรุนแรงจะเป็นยาปกติ เพราะในทางการแพทย์ เมทแอมเฟตามีนมีผลทำลายสุขภาพและสมองน้อยกว่าบุหรี่และสุรา แต่สังคมกลับยอมรับบุหรี่และสุรา หลังจากนี้จะหารือกับกระทรวงสาธารณสุข ศาล อัยการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เพื่อหาแนวทางที่เป็นไปได้ในการยกเลิกเมทแอมเฟตามีนจากบัญชียาเสพติด”
วลีเด็ด “บิ๊กต็อก” พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม บนเวทีประชุมทิศทางนโยบายยาเสพติดโลก ที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.ที่ผ่านมา
หลังผุดแนวคิดปลดล็อค “เมทแอมเฟตามีน” หรือ “ยาบ้า” ออกจากบัญชียาเสพติด
ทำเอา “นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สาธารณสุข” ออกมาส่งสัญญาณสนับสนุนพร้อมเดินหน้าเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนบูรณาการแก้ไขปัญหายาเสพติด และถือเป็นความพยายามของรมว.ยุติธรรมที่จะลดจำนวนผู้ติดยาเสพติด ด้วยการเข้าไปช่วยผู้ติดยาเสพติดนำเข้าสู่ระบบบำบัด เช่นเดียวกับที่มีการดำเนินการในหลายประเทศ
ทว่าการถอด “ยาบ้า” ออกจากบัญชียาเสพติดร้ายแรงประเภทที่ 1 กลับทำให้สังคมวิพากษณ์ วิจารณ์กันในวงกว้าง ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย จนเป็นกระแสฮอตติดลมบนในโลกโซเชียลมีเดียร์ ทั้งแชร์ รีทวิต กันเป็นว่าเล่น แต่เผอิญเป็นกระแสฮอตที่เอนไปทางด้านลบต่อแนวคิดนี้ ทำเอาบรรดานักเลงคีบอร์ดตำหนิบิ๊กต็อกแบบไม่ยั้ง
ร้อนถึงบิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. อีกแล้วครับท่าน ที่ต้องโดดปกป้องพร้อมเคลียร์ชัดๆ ว่า
“เป็นเพียงแนวคิดจากการประชุมเรื่องทิศทางของนโยบายยาเสพติดโลก จึงต้องนำกลับมาศึกษาตามข้อเสนอที่เสนอมาว่าจะทำอย่างไร พร้อมทั้งต้องมองว่าประเทศเขากับเราเป็นคนละอย่าง และประเทศเราเหมือนกับประเทศเขาหรือไม่ เพราะเขาสามารถควบคุมได้ ซึ่งประเทศไทยมีกฎหมายยังไม่สามารถควบได้อยากได้แบบเขา แต่ไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองจะทำได้อย่างไร”
ขณะที่มุมมองของ “นพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข” เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ระบุว่า “การถอดยาบ้าออกจากยาเสพติดไปเป็นวัตถุออกฤทธิ์นั้น เข้าใจว่าเพื่อช่วยลดผู้ต้องขัง และเพิ่มการเข้าถึงการบำบัดให้มากขึ้น ซึ่งทางกรมการแพทย์ กรมสุขภาพจิต และโรงพยาบาล ก็ต้องเตรียมความพร้อมในเรื่องของการบำบัด แต่เป้าหมายใหญ่ที่ประเทศไทยต้องการ คือ ลดการเสพยาเสพติดลง ท้ายที่สุดก็ต้องมาดูว่าสามารถลดการเสพยาลงได้หรือไม่ เพราะหากแค่ช่วยเพิ่มการเข้าถึงบำบัดเพียงอย่างเดียว แต่ลดจำนวนผู้เสพไม่ได้ก็ไม่ตอบโจทย์”
แน่นอนว่ายุทธวิธี “หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง” หรือการแก้ปัญหาแบบ “ย้อนศร”กลายเป็นประเด็น “ดราม่าทางการเมือง” เพราะมีฝ่ายการเมืองที่รอถล่มคสช.โดดมาแจมงานนี้ด้วยนะสิ
จน “พล.อ.ไพบูลย์” ต้องออกมาแถลงชี้แจงอย่างเป็นทางการอีกครั้งว่า“มีทางทำให้ยาเสพติดหมดไปจากโลกได้ แต่จะอยู่ร่วมกับยาเสพติดได้อย่างไรให้สังคมปลอดภัย ฉะนั้นเมื่อมีการประกาศยาเสพติดยาเสพติดบางประเภท จึงจำเป็นต้องมานั่งศึกษาว่าเหมาะสมหรือไม่ เพราะว่าผลออกฤทธิ์ของยาบ้าไม่ได้มากกว่าสารเสพติดชนิดอื่น สำหรับผมพร้อมที่จะปรับยาบ้าให้เป็นยาปกติ เนื่องจากเข้าใจและบุคคลที่อยู่ในวงการสาธารณสุขก็เข้าใจ เรื่องดี ซึ่งเราต้องกลับมาพัฒนาเรื่องการบำบัด ฟื้นฟู กันใหม่”
แต่กว่าจะออกมาแถลงแบบนี้ พล.อ.ไพบูลย์ก็โดนกระแสโซเชียลถล่มไปสองสามวัน ถลอกปอกเปิกไม่ใช่น้อย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ากระแสแค่นี้ไม่ระคายผิว “บิ๊กต็อก” สักเท่าไร เพราะถ้าย้อนดูโปรไฟล์เรื่องที่เคยรับภารกิจ ลุยปะชะดะปราบจนสำเร็จหนักกว่านี้ กระแสแรงกว่านี้ก็ผ่านมาหมดแล้ว
ทั้งการนั่งอยู่ในเก้าอี้ “ผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ” หรือ ศอตช. ที่ตรวจสอบทุจริตข้าราชการระดับใหญ่ นักการเมืองท้องถิ่น ที่มีเค้าว่าทุจริตก็เคยส่งชื่อให้บิ๊กตู่เซ็นเชือดมาแล้ว
และเรื่องที่ดูจะโดนถล่มมาก เพราะส่งผลสะเทือนกล่องดวงใจ “คนเสื้อแดง” คือ การลุยเดี่ยวถอดยศ “ทักษิณ ชินวัตร” จากพันตำรวจโทให้เหลือแค่คำนำหน้าชื่อว่า “นายทักษิณ” ที่เรียกคะแนนเสียงจากกองเชียร์ฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลได้ท่วมท้น
แล้วไหนจะภารกิจที่ทำตอนนี้คือการงัดข้อกับ “วัดพระธรรมกาย” ในการดำเนินคดีกับ “พระธัมมชโย” ที่มีลูกศิษย์มหาศาล
ดังนั้นจะว่าไปแล้ว ประเด็นถอนยาบ้าออกจากลิสยาเสพติดนั้น แค่เรื่องจิ๊บที่ทำอะไรบิ๊กต็อกไม่ได้ แต่ก็ถือว่า “เกือบแย่” กับกระแสดราม่ารอบนี้.