เปิดข้อกล่าวหา “พิเชษฐ์” โยกงบฯ งานเข้า!ยื่นสอยพ้นรองประธานสภาฯ

งานเข้า ร้องสอย “พิเชษฐ์” โยกงบ
งานเข้า “พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน” รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 เมื่อ “ภัณฑิล น่วมเจิม” สส.กรุงเทพฯ พรรคประชาชน เตรียมยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้วินิจฉัย จากกรณีการตั้งโครงการของบประมาณของสภาผู้แทนราษฎรที่ส่อไปในทางทุจริต โดยเป้าหมายของการยื่นนี้ เพื่อถอดถอน “พิเชษฐ์” พ้นรองประธานสภาฯ
ภัณฑิล จะยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้วินิจฉัยว่าการกระทำของพิเชษฐ์ เข้าข่ายการกระทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคสอง ที่ห้ามไม่ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกระทำด้วยประการใดๆ เพื่อเข้าไปมีส่วนไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายหรือไม่ ซึ่งไม่เกี่ยวกับการให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดเรื่องจริยธรรม แต่เป็นเรื่องของการทุจริต โดยให้เหตุผลว่า ฝ่ายนิติบัญญัติมีหน้าที่ในการออกกติกา ตรวจสอบการใช้งบประมาณ แต่กรณีนี้มีการนำงบประมาณเข้าเขตตัวเองแล้วมาแจกเงินจัดงาน การใช้งบประมาณแบบนี้ไม่ตอบโจทย์ประชาชน ส่อไปในทางทุจริต เจตนาต้องการมีงบกลางของตัวเองไว้ใช้ ซึ่งเงินภาษีประชาชนจะเอาไปใช้แบบนี้ไม่ได้

พฤติกรรมรองประธานสภาฯ
จากข้อมูลของ สส. ภัณฑิล เปิดเผยว่า ในช่วงก่อนการจัดทำคำของบประมาณประจำปีงบประมาณ 2568 พิเชษฐ์ มีความตั้งใจที่จะเอางบประมาณแผ่นดินไปแจกจ่ายให้กลุ่มเป้าหมายหรือฐานเสียงที่สนับสนุนตนเองและพวกพ้อง ในรูปแบบการ “แจกทุน” หรือเงิน “สนับสนุนโครงการ” ให้ประชาชนโดยตรง
โดยได้มอบหมายให้ “จีรพงศ์” ที่ปรึกษาในคณะทำงานทางการเมืองของรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 ในขณะนั้น ยกร่างโครงการขึ้นเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2566 จำนวน 4 โครงการ ประกอบด้วย โครงการสภาผู้แทนบรรเทาทุกข์และความจำเป็นเร่งด่วน, โครงการพัฒนาศักยภาพเยาวชนในการปกครองระบอบประชาธิปไตย, โครงการส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ และโครงการส่งเสริมความมั่นคงอาชีพสตรี เพื่อให้สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จัดทำคำของบประมาณปี 2568 มูลค่า 443 ล้านบาท
ต่อมา “พิเชษฐ์” ได้ลงนามไปถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร มีคำสั่งเห็นชอบในหลักการเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2566 ซึ่งฝ่ายข้าราชการเห็นก็เกิดความหนักใจ สำนักนโยบายและแผนได้มีการขอความเห็นไปยังสำนักต่างๆ ของสภาผู้แทนราษฎร ทั้งสำนักกฎหมาย สำนักการคลังและงบประมาณ จนนำมาสู่ข้อสรุปว่าโครงการแจกเงินในลักษณะดังกล่าวไม่สามารถทำได้เพราะขัดกับกฎหมายหลายข้อ
โดยสำนักนโยบายและแผน ที่เห็นว่า ไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ.การบริหารราชการฝ่ายรัฐสภา 2554 และไม่เป็นไปตามระเบียบรัฐสภา ว่าด้วยการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา 2557 ข้อ 13 (2) เงินหรือสิ่งของบริจาคมิให้เบิกจ่าย ไม่เป็นไปตามแบบคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ไม่มีวิธีการดำเนินกิจกรรม ไม่มีระยะเวลาที่ใช้ดำเนินกิจกรรม ไม่มีรายละเอียดการใช้งบประมาณ โครงการยังไม่มีการกำหนดตัวชี้วัด ประกอบกับหลักเกณฑ์การวิเคราะห์ความเสี่ยงของโครงการ
ขณะที่กลุ่มการเงิน สำนักการคลังและงบประมาณ เห็นว่าไม่เป็นไปตามระเบียบรัฐสภาว่าด้วยการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา 2557 ข้อ 13 (2) เช่นกัน นอกจากนี้สำนักกฎหมายยังเห็นว่าไม่ได้เป็นอำนาจหน้าที่ของสภาตาม พ.ร.บ.การบริหารราชการฝ่ายรัฐสภา 2554 ขัดต่อ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ 2561 และขัด พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ 2561 และสุ่มเสี่ยงที่จะผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 144

ต่อมาเมื่อวันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน 2566 ผู้แทนจากสำนักนโยบายและแผนได้เข้าประชุมกับ “พิเชษฐ์” และ “จีรพงศ์” แจ้งให้ทราบว่าหากยืนยันจะเสนอคำขอตั้งงบประมาณปี 2568 ดังกล่าวให้ได้ จะต้องมีการปรับแก้ไขรายละเอียดโครงการให้อยู่ภายใต้ขอบเขตอำนาจหน้าที่ของสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร คือการปรับเปลี่ยนรูปแบบเป็นโครงการจัดสัมมนา พิเชษฐ์หลังทราบคำชี้แจงจากสำนักนโยบายและแผนแล้ว จึงสั่งการให้คณะทำงานปรับรูปแบบคำของบประมาณปี 2568 โดยให้เขียนเป็นโครงการสัมมนาขึ้นมา 3 โครงการ
โดยในโครงการทั้งสามมีความผิดปกติหลายอย่าง เช่น จำนวนงานสัมมนาที่โครงการตั้งเป้าไว้สูงจนแทบจะเป็นไปไม่ได้ อย่างเช่นในโครงการพัฒนาศักยภาพเยาวชน ถูกซอยย่อยออกเป็น 7 โครงการ รวมจัดสัมมนา 800 ครั้ง เป้าหมาย 80,000 คน ขณะที่ในโครงการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนถูกแบ่งออกเป็น 2 โครงการ รวมจัดสัมมนา 600 ครั้ง และโครงการส่งเสริมบทบาทสตรีทางการเมือง กำหนดเป้าหมายการจัดสัมมนา 894 ครั้ง ผู้เข้าร่วมไม่น้อยกว่า 44,700 คน รวมตามคำขอทั้งหมดจะต้องจัดงานสัมมนา 2,294 ครั้งภายในเวลา 1 ปี
สุดท้ายได้มีการทำคำขอโครงการ 3 โครงการ ของบประมาณ 350 ล้านบาท บรรจุเข้าเป็นแผนในปี 2568 เมื่อเข้าสู่การพิจารณาในชั้นคณะรัฐมนตรีถูกตัดเหลือ 83 ล้านบาท สร้างความไม่พอใจให้กับรองประธานสภาผู้แทนราษฎร และมีการกดดันเพื่อขอแปรงบประมาณเพิ่มจนสุดท้ายได้มา 178 ล้านบาท
โครงการเกินครึ่งลงที่เชียงราย
เมื่อได้รับจัดสรรงบประมาณปี 2568 แล้ว พิเชษฐ์ได้จัดให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการเพื่อกำกับ ดูแล และเห็นชอบการจัดโครงการ ตามนโยบายของรองประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยมี เทอดชาติ ชัยพงษ์ สส.เชียงราย เขต 5 ซึ่งเป็นพื้นที่ติดกับเขต 7 ซึ่งเป็นเขตที่พิเชษฐ์เป็น สส. ร่วมเป็นที่ปรึกษาในคณะกรรมการบริหารทั้ง 3 โครงการ ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่าเป็นการตั้งเพื่อที่จะนำเงินงบประมาณไปใช้จ่ายในพื้นที่ที่เป็นฐานเสียงของตนเองหรือไม่
ต่อมาหลังจากโครงการได้รับการอนุมัติแล้ว มีการจัดทำคำขอที่แสดงความต้องการให้สภาผู้แทนราษฎรลงไปจัดสัมมนาที่ จ.เชียงราย เป็นจำนวนมาก ทั้งที่ยังไม่มีการประชาสัมพันธ์เผยแพร่เป็นการทั่วไป โดยสัดส่วนคำขอที่ถูกส่งเข้ามาในแต่ละโครงการเป็นของ จ.เชียงราย เกินครึ่ง ไม่ว่าจะเป็น
- โครงการพัฒนาศักยภาพเยาวชน มีคำขอ 50 โครงการ ไปที่เชียงราย 28 โครงการ คิดเป็น 56% มี 15 โครงการลงที่เขตของรองประธานสภาผู้แทนราษฎร
- โครงการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน มีคำขอ 85 โครงการ ไปที่เชียงราย 75 โครงการ คิดเป็น 88.2% มี 51 โครงการลงที่เขตของรองประธานสภาผู้แทนราษฎร
- โครงการส่งเสริมบทบาทสตรีทางการเมือง มีคำขอ 305 โครงการ ไปที่เชียงราย 266 โครงการ คิดเป็น 87.2% มี 191 โครงการลงในพื้นที่ของรองประธานสภาผู้แทนราษฎร
ข้อน่าสังเกตคือคำของบประมาณที่ส่งมาจาก จ.เชียงราย ล้วนแต่พิมพ์มาเหมือนกันทุกตัวอักษร เว้นแค่วันที่ ชื่อ และที่อยู่ที่ต่างกัน อีกทั้งวันที่ที่ระบุอยู่ในเอกสารหลายชิ้นก็ล้วนเป็นวันเดียวกัน ลายมือจำนวนมากก็เหมือนกัน อีกทั้งเมื่อนำยอดการของบประมาณทั้งหมดที่มีมาหารเฉลี่ย และแม้จะมีการตัดงบประมาณในชั้นกรรมาธิการไปแล้ว แต่ก็ยังต้องมีการจัดสัมมนามากกว่า 1,300 ครั้งต่อปี หรือวันละเกือบ 4 งานต่อวันอยู่ดี ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะจัดได้มากขนาดนั้นใน 1 ปี
ทำให้สรุปได้ว่าการของบประมาณอบรมสัมมนาทั้งสามโครงการ เป็นการขอตั้งโดยที่รู้อยู่แล้วว่าไม่สามารถใช้งบประมาณตามวัตถุประสงค์โครงการได้ โดยมีความตั้งใจจะโยกงบประมาณไปใช้ในโครงการอื่นตั้งแต่แรก

มีหลักฐานสำคัญคือเอกสารของสำนักรักษาความปลอดภัย วันที่ 30 ตุลาคม 2567 ระบุชัดเจนว่ารองประธานสภาผู้แทนราษฎร ดำริว่าจะให้มีกองเกียรติยศของเจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐสภาเพื่อใช้ในงานพิธีต่างๆ จึงให้จัดโครงการฝึกอบรมงบประมาณ 3.5 แสนบาท โดยให้โยกงบประมาณจากโครงการพัฒนาศักยภาพเยาวชนไปใช้
นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานอีกว่ากลุ่มงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 แจ้งว่าสำนักเลขาธิการได้อนุมัติให้สำนักอาคารสถานที่ดำเนินโครงการปรับปรุงพื้นที่ภูมิทัศน์ภายในอาคารสนามหญ้าภายนอกอาคาร และระบบน้ำพุวงเวียนสุริยัน-จันทรา วงเงินงบประมาณ 35 ล้านบาท, โครงการปรับปรุงไฟฟ้าส่องสว่างยอดอาคาร ต้นไม้ วงเงินงบประมาณ 11 ล้านบาท และการจ้างออกแบบโครงการปรับปรุงพื้นที่ห้องครัวของอาคารรัฐสภา 5 ล้านบาท รวม 51 ล้านบาท โดยให้โยกงบประมาณจากโครงการอบรมทั้ง 3 โครงการ
ข้อน่าสังเกตคือสำนักที่ทำเรื่องขอโยกงบประมาณจากโครงการอบรมสัมมนาทั้ง 3 โครงการนี้ไปใช้ ได้แก่สำนักรักษาความปลอดภัย และสำนักอาคารสถานที่ ล้วนแต่เป็นสำนักที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ทั้งสิ้น
หลังจากดำเนินโครงการในงบประมาณปี 2568 โดยไม่มีใครทักท้วงได้สำเร็จ ในงบประมาณปี 2569 จึงมีการของบประมาณเพิ่มเป็น 594 ล้านบาท จากที่เคยขอ 350 ล้านบาทในงบประมาณปี 2568 โดยพบว่ามีการของบประมาณเช่นเดิม ทำกิจกรรมอบรมสัมมนาแบบเดิมแต่มีจำนวนมากขึ้น เป้าหมายการจัดสัมมนาของทั้ง 3 โครงการพุ่งขึ้นไปเป็น 2,800 งานใน 1 ปี
