“ชัยธวัช” ถาม “ภูมิธรรม” ตอบ ปม ล็อกไม่ห้ามแก้หมวด 1 หมวด 2 – ชั้น 14 รพ.ตำรวจ
“ชัยธวัช” ถาม “ภูมิธรรม” ตอบ ปม จัดทำรัฐธรรมนูญใหม่-ทักษิณ นอนชั้น 14
วันที่ 11 มกราคม 2567 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล และผู้นำฝ่ายค้าน ตั้งกระทู้สดถามนายกรัฐมนตรีถึงการดำเนินนโยบายแก้ไขปัญหาทางการเมือง ในกรณีการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ และนโยบายการฟื้นฟูระบบนิติรัฐที่เข้มแข็ง ซึ่งรัฐบาลได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง นายภูมิธรรม เวชยชัย มาเป็นผู้ตอบคำถามแทน
1) คำถามประชามติที่คณะกรรมการศึกษาเสนอนั้น ขัดต่อหลักการสำคัญที่ว่าประชาชนเป็นผู้ทรงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ เนื่องจากมีการระบุข้อยกเว้นว่าจะทำรัฐธรรมนูญใหม่ก็ได้ แต่ห้ามทำใหม่ทั้งฉบับ คำถามคือตกลงในสังคมไทย ผู้เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ได้ทั้งฉบับจะมีเพียงคณะรัฐประหารที่ฉีกรัฐธรรมนูญตามใจชอบอย่างนั้นหรือ
2) พรรคก้าวไกลคาดหวังว่ากระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ในครั้งนี้จะทำให้สังคมไทยที่มีความคิดเห็นแตกต่างขัดแย้งกันมาสิบกว่าปี สามารถแสวงหาฉันมามติใหม่ร่วมกันได้ผ่านเวทีการจัดทำรัฐธรรมนูญ และเราไม่เชื่อว่าจะมีความคิดเห็นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปอยู่ในรัฐธรรมนูญใหม่ฝ่ายเดียว ไม่มีใครจะได้อย่างที่ตัวเองต้องการทั้งหมด แต่การตั้งคำถามประชามติบแบบนี้จะส่งผลให้ประชาชนที่มีความเห็นไม่ตรงกัน บางส่วนรู้สึกถูกกีดกันออกจากกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญนี้ตั้งแต่วันแรก เราจะสูญเสียโอกาสในการหาฉันทามติใหม่ด้วยคำถามแบบนี้
3) คำถามประชามติแบบนี้มีปัญหา เพราะเป็นคำถามที่กังวลมากเกินไปจนอาจไปสร้างปัญหาใหม่โดยไม่จำเป็นขึ้นมา เนื้อหาในรัฐธรรมนูญหมวด 1 และหมวด 2 มีการเปลี่ยนแปลงเสมอเมื่อมีการทำรัฐธรรมนูญใหม่ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แต่ไม่นานมานี้มีความพยายามสร้างความกลัวและความเข้าใจผิดทางการเมือง ว่าการแก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 เป็นเรื่องอันตราย จะไปกระทบกับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ทั้งที่ในรัฐธรรมนูญปัจจุบันก็มีข้อจำกัดชัดเจนอยู่แล้วว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะไปส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองและรูปแบบของรัฐไม่ได้อยู่แล้ว
นอกจากนี้ ยังอาจส่งผลให้เกิดปัญหาในเชิงเทคนิคเชิงกฎหมาย เนื่องจากรัฐธรรมนูญในแต่ละหมวดโยงใยสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน การยกร่างใหม่เกือบทุกหมวดแล้วล็อกไม่ให้แก้ไขในหมวดใดหมวดหนึ่งอาจทำให้เกิดปัญหา เช่น ในกรณีที่ สสร. เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ให้ยกเลิกวุฒิสภา หากปรากฏว่าถ้ามีข้อความใดข้อความหนึ่งที่พูดถึงวุฒิสภาในหมวด 1 และหมวด 2 จะไปตัดข้อความออกในหมวด 1 และหมวด 2 นั้นได้หรือไม่
เช่นเดียวกับปัญหาทางการเมือง เช่น จากประสบการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมา ในการทำประชามติรัฐธรรมนูญ 2560 หลังผ่านประชามติไปแล้ว ปรากฏว่ารัฐบาลในขณะนั้นแจ้งว่ามีพระราชประสงค์แก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 คำถามคือถ้าในอนาคตมีเหตุการณ์ทำนองเดียวกันเกิดขึ้นอีกรัฐบาลจะทำอย่างไรในเมื่อล็อกไปแล้ว
4) ในคำถามที่จะทำประชามตินี้ ไม่มีการระบุว่าจะให้จัดทำรัฐธรรมนูญใหม่โดย สสร. ซึ่งรัฐบาลได้ให้เหตุผลว่าการเสนอคำถาม สสร. อาจจะถูกนำไปตีความว่าจะกลายเป็นการจัดทำประชามติที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ แม้ตนจะพยายามเข้าใจเหตุผล แต่ก็อยากให้รัฐบาลพิจารณาผลด้านกลับของมันด้วย เพราะอาจกลายเป็นการวางยาให้ตัวเอง
นายชัยธวัช กล่าวว่า สุดท้ายการตั้งคำถามประชามติที่ตั้งเงื่อนไขไว้อย่างไม่มีเหตุผลเช่นนี้ อาจทำให้ประชามติผ่านยากขึ้น เพราะเป็นคำถามที่แทนที่จะแสวงจุดร่วมสงวนจุดต่างให้มากที่สุด กลับจะทำให้เสียงแตกและกลายเป็นการวางยาตัวเอง เป็นการตั้งคำถามด้วยความรู้สึกจงรักภักดีแบบล้นเกิน อาจทำให้การถกเถียงที่แทนที่จะเถียงกันว่าควรจะมีรัฐธรรมนูญใหม่แทนหรือไม่ กลับจะกลายเป็นการถกเถียงกันในประเด็นว่าเห็นด้วยกับการแก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 หรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ตนจึงอยากให้รัฐบาลคิดถึงผลด้านกลับของคำถามแบบนี้ และขอถามว่ารัฐบาลจะมีการทบทวนข้อเสนอคำถามประชามติครั้งที่ 1 ของคณะกรรมการศึกษาฯ หรือไม่
โดยในส่วนของนายภูมิธรรม ได้ตอบคำถามกรณีรัฐธรรมนูญ โดยระบุว่าสิ่งที่ผู้นำฝ่ายค้านกล่าวมาเป็นมุมมองต่อความขัดแย้งที่มีแตกต่างกัน รัฐธรรมนูญ 60 ทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นก็จริง แต่จากที่ผ่านมาขณะที่ทั้งสองพรรคเป็นฝ่ายค้านด้วยกัน ได้มีการยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญมาหลายครั้งและด้วยทุกวิธี ก็ปรากฏว่าไม่อาจผ่านได้ทุกครั้ง จึงจำเป็นที่จะต้องทำให้เกิดความมั่นใจว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเกิดขึ้นได้
โดยเฉพาะในกรณีของการแก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ปรากฏว่าทุกพรรคยกเว้นพรรคก้าวไกลล้วนไม่อยากให้มีการแก้ไขหมวด 1 หมวด 2 เมื่อคณะกรรมการศึกษาฯ ไปสอบถามทุกฝ่ายรวมถึงประชาชนในทั้ง 4 ภาค ก็ออกมามีความเห็นเหมือนกันว่าไม่เอาหมวด 1 และหมวด 2
ทั้งนี้ กระบวนการวันนี้ยังไม่ถึงขั้นตอนของรัฐบาล ยังคงเป็นขั้นตอนในคณะกรรมการศึกษาฯ ที่เสียงส่วนใหญ่พิจารณารับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆ มาแล้ว ยืนยันไม่เอาการแก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 แต่อย่างไรก็ตามจะมีการบันทึกความคิดเห็นที่แตกต่างนี้ไว้ สำนักนายกรัฐมนตรีกำลังรวบรวมข้อสรุป และจะพยายามให้เสร็จภายในเดือนมกราคมนี้
ส่วนเรื่อง สสร. ที่ไม่ตั้งคำถามในครั้งแรก ก็เพราะคณะกรรมการศึกษาฯ อยากให้คำถามมีความชัดเจน เมื่อศาลรัฐธรรมนูญบอกชัดเจนว่ารัฐธรรมนูญ 60 มาจากประชามติของประชาชน ถ้าจะมีการเปลี่ยนแปลงก็ขอให้ไปหารือกับประชาชนก่อน ถึงได้เอาคำถามเดียวเพื่อให้เกิดความชัดเจนมากขึ้น สสร. ยังเป็นอีกขั้นตอนหนึ่ง ยังไม่จำเป็นต้องสร้างความสับสนในตอนนี้ ไม่ได้มีเจตนาเป็นอื่นแต่อย่างไร
ทางด้านนายชัยธวัช ได้ถามต่อในประเด็นที่สอง เกี่ยวกับนโยบายรัฐบาลในการฟื้นฟูหลักนิติรัฐที่เข้มแข็ง โดยระบุว่าสถานการณ์เกี่ยวกับการดำเนินคดีทางการเมืองตั้งแต่ก่อนและหลังการมีรัฐบาลชุดใหม่แทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย และในปี 2566 ยังเป็นปีที่มีผู้ถูกคุมขังจากคดีทางการเมืองสูงสุดถึง 56 คน เทียบกับปี 2565 คือ 46 คน แม้ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นก่อนรัฐบาลใหม่เข้ามา แต่หลังจากมีรัฐบาลใหม่แล้วก็ยังคงมีการดำเนินคดีทางการเมืองอย่างต่อเนื่องเพิ่มขึ้นอีก เฉพาะคดีที่เกี่ยวกับ ม.112 เพิ่มขึ้น 9 คดี มีผู้ต้องหาบางรายไม่ได้รับสิทธิการประกันตัว สถานการณ์การพิจารณาให้ประกันตัวก็ยังมีหลักเกณฑ์ที่ไม่ชัดเจนแน่นอน
นอกจากคดีทางการเมืองแล้ว การคุกคามทางการเมืองก็ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้จะเปลี่ยนรัฐบาลแล้ว ยังคงมีนักศึกษาและประชาชนที่ถูกกำหนดเป็นเป้าหมายของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเหมือนเดิม มีการกดดันคุกคามถึงที่พักและที่ทำงาน ถูกสอดแนมในรูปแบบต่างๆ เวลามีบุคคลสำคัญลงพื้นที่ ก็ถูกจับตา ถูกเฝ้าระวัง หรือขอให้ออกจากพื้นที่ ควบคุมตัวชั่วคราวโดยผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 มีประชาชนถูกคุกคามแบบนี้ไม่น้อยกว่า 203 กรณี เป็นกรณีที่เกิดขึ้นหลังมีนายกรัฐมนตรีใหม่แล้ว 70 กรณี
นายชัยธวัชกล่าวต่อไป ว่าขณะที่สถานการณ์เกี่ยวกับการดำเนินคดีทางการเมืองไม่มีความเปลี่ยนแปลง ความรู้สึกถึงกระบวนการยุติธรรมสองมาตรฐานกลับรุนแรงมากขึ้น จากกรณีที่มีบุคคลที่ได้รับสิทธิในการรักษาตัวนอกเรือนจำบนชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งเมื่อเทียบเคียงกับกรณีนักโทษอื่นๆ ปรากฏว่ายากมากที่จะได้รับการรักษาพยาบาลอย่างเหมาะสม ต้องเป็นกรณีที่เจ็บป่วยร้ายแรงเท่านั้นถึงจะได้รับสิทธิ
“สุดท้าย สิ่งที่เกิดขึ้นตอกย้ำให้เกิดการตั้งคำถามถึงความเสมอภาคเท่าเทียมในกระบวนการยุติธรรม รัฐบาลอาจบอกว่าถูกตามระเบียบ แต่ตอนนี้มีผู้ต้องขังได้รับสิทธิรักษาเกิน 120 วันอยู่เพียง 3 คนเท่านั้น” ชัยธวัชกล่าว
ต่อคำถามดังกล่าว นายภูมิธรรมได้ชี้แจงว่าในส่วนของคดีที่ประชาชนหรือนักศึกษาถูกใช้อำนาจไม่ถูกต้อง รัฐบาลก็ไม่ได้เห็นด้วยกับการคุกคาม ควบคุมตัว หรือทำให้เกิดความหวาดกลัว แต่ขณะที่ยังมีกฎหมายอยู่ทุกคนก็ต้องเคารพกฎหมาย และเจ้าหน้าที่ก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย หากมีกฎหมายที่ไม่ชอบธรรมก็ต้องเข้าสู่กระบวนการแก้ไขให้เรียบร้อย ถ้ามีกฎหมายอยู่แล้วไม่ปฏิบัติก็จะเกิดปัญหาตามมากับเจ้าหน้าที่
ตนจึงขอเชิญชวนว่าอะไรที่เป็นกฎหมายอยู่ก็อย่าเพิ่งไปท้าทายหรือทำอะไรที่ผิด แต่ถ้าเป็นประเด็นทางการเมืองก็ยังมีวิธีหารือหรือจับมือคุยกัน หาช่องทางแก้ไขร่วมกันได้ในหลายๆ กรณี ใช้กระบวนการเสวนาสร้างความเข้าใจกันด้วยสันติ ถ้าเป็นปัญหาในระดับกฎหมายก็แก้กฎหมาย ถ้าเป็นปัญหาทางปฏิบัติก็มาดูหาทางออกกัน ถ้ามีการกระทำที่ผิดกฎหมายจากฝ่ายไหนก็ทำไม่ได้ทั้งนั้น รัฐบาลมีหน้าที่ทำให้การจัดการที่ผิดถูกต้องที่สุด กรณีที่มีหลักฐานก็ขอให้นำมา กรณีที่ไม่มีหลักฐานก็ต้องยึดกฎหมายเป็นหลัก
ส่วนกรณีชั้น 14 ภูมิธรรมชี้แจงว่าท่านไม่ได้ทำความเข้าใจในรายละเอียดของกฎหมายที่ออกมาให้ชัดเจน กฎหมายนี้ออกมาเพื่อให้เกิดความเสมอภาคเท่าเทียม ไม่ได้เกิดในสมัยรัฐบาลเพื่อไทย เกิดมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลที่แล้ว ที่เล็งเห็นว่าผู้ต้องขังในเรือนจำล้นจริงๆ จึงพยายามแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ให้เป็นไปตามหลักสากล ให้มีกฎหมายขยายให้บุคคลที่เจ็บป่วยหรือใกล้พ้นวาระและปฏิบัติตัวดีสามารถใช้ชีวิตข้างนอกเรือนจำได้ พรรคเพื่อไทยไม่ได้สร้างกฎหมายขึ้นมาเพื่อดูแลใคร และมีกระบวนการยุติธรรมบังคับอยู่แล้ว อย่าเอาเรื่องที่เป็นกระบวนการปกติมาโยนใส่รัฐบาลให้เป็นเรื่องความเหลื่อมล้ำไม่เสมอภาคกัน