“ชาดา” ดึงสรรพากรปราบมาเฟียไทย
“ชาดา” ลุยปราบผู้มีอิทธิพล ยันที่ผ่านที่มา บุกแล้วในพื้นที่กทม. และขอนแก่น เช่นลักลอบนำเข้าแรงงานผิดกฎหมาย พร้อมเผยกลยุทธ์ดึงกรมสรรพากร และปปง.ล้างมาเฟียไทย เลียนแบบสหรัฐฯ สยบ เจ้าพ่อ “อัล คาโปน”
นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ตั้งกระทู้ถามสดด้วยวาจา เรื่องการปราบปรามผู้มีอิทธิพล ว่า ประชาชนมีความรู้สึกว่า รัฐบาลให้นักเลงมาปราบนักเลง ให้เจ้าพ่อมาปราบเจ้าพ่อ เอาผู้มีอิทธิพลแห่ง จ.อุทัยธานี มาปราบผู้มีอิทธิพลทั้งประเทศ แล้วจะทำได้จริงหรือไม่ เพราะความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการดำเนินการในเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ หากทำได้ต้องถือว่าเป็นเรื่องดี แต่มีความรู้สึกว่าจะทำได้จริงหรือไม่ และจะทำได้นานแค่ไหน หรือแค่สร้างภาพเท่านั้น เพราะขนาดรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มเบ็ดเสร็จ และมีกฎหมายมาตราสำคัญในการจัดการ พอเข้ามาก็จัดการ ตั้งแต่วินมอเตอร์ไซด์ รถตู้ หวยใต้ดิน บ่อน ซ่อง จากนั้นก็เหมือนเดิม ทั้งๆ ที่มีอำนาจเต็ม
“ผมไม่แน่ใจว่ารัฐมนตรีจะมีอำนาจเต็มเบ็ดเสร็จ และมีกองกำลังในการจัดการแบบนั้นหรือไม่ เพราะผู้มีอิทธิพลในประเทศไทยส่วนใหญ่จะมาจากบ้านใหญ่ และบ้านใหญ่นั้น ส่วนใหญ่ก็ครอบคลุมหรือเป็นนักการเมือง เป็นรัฐมนตรีเอง เป็นนายก อบต. อบจ.กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แล้วพวกนี้ก็เป็นลูกน้องของบ้านใหญ่ เป็นลูกน้องของนักการเมืองใหญ่ ชาวบ้านจึงไม่มั่นใจว่านโยบายนี้จะเป็นการทำแบบลูบหน้าปะจมูก ไฟไหม้ฟาง แล้วไม่มีอะไรเหมือนที่เราเห็นเกิดขึ้น” นายวันชัย สอนศิริ กล่าวและกล่าวต่อว่า
“ผมเห็นรัฐมนตรีไปประชุมที่จังหวัดอุทัยธานี ผมมั่นใจว่าท่านทำได้ เป็นพื้นที่สีขาวตามที่ประกาศ แต่ กทม.อยู่ในอำนาจที่รัฐมนตรีต้องจัดการด้วยหรือไม่ ทั้งบ่อน ซ่อง ยาเสพติด ค้ามนุษย์ แรงงานเถื่อน พนันออนไลน์ หวยใต้ดิน สิ่งผิดกฎหมายต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้โยงใยประเทศและฝังรากลึก จึงอยากถามรัฐมนตรีจะปราบปรามผู้มีอิทธิพลแค่ไหน ทั่วประเทศหรือไม่ และใช้เวลาเท่าไรที่จะเห็นผล และจะจัดการให้ผู้มีอิทธิพลหมดตัว ไม่มีที่ยืนในสังคมอย่างไร” นายวันชัย กล่าว
ขณะที่ นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย ซึ่งได้รับมอบหมายจากนายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมน ตรี และ รมว.มหาดไทย ให้เป็นผู้ชี้แจงแทน กล่าวว่า เรียกนักเลงตนไม่โกรธ เพราะนักเลงกับอันธพาล ไม่เหมือนกัน ซึ่งรูปแบบการทำงานของตน ในอดีตที่ผ่านมาได้ขึ้นบัญชีผู้มีอิทธิพลหลายครั้ง แต่วันนี้ก็ยังมีอยู่ และพัฒนาการขึ้นไปเรื่อยๆ ขอยืนยันว่าการทำงานของตนจะไม่ทำแบบไฟไหม้ฟาง และทำแบบหวือหวา เช่น การไปค้นบ้านโน้นบ้านนี้แล้วไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร เพราะก่อนไปค้น เขาก็รู้หมดแล้ว
รูปแบบการทำงานของตน ในขั้นแรกให้จังหวัดโดยกรมการปกครอง ทำบัญชีและบอกพฤติกรรมว่าอาณาจักรเขาเป็นอย่างไร การปราบปรามผู้มีอิทธิพลในลักษณะที่ถูกต้องนั้น คือ ถ้าเอาผู้มีอิทธิพลไปติดคุกแล้ว ต้องทำให้อาณาจักรล่มสลายไปด้วย
ส่วนกรณีบ้านใหญ่ขอให้สบายใจได้ เพราะบ้านใหญ่ล่มสลายไปเยอะแล้ว และเชื่อว่าบ้านใหญ่รุ่นใหม่คงไม่มาอาศัยผู้มีอิทธิพลแล้ว เพราะประชาชนไม่เลือก หากไปข่มขู่แบบในอดีต ไปแจกเงินแล้วเอาปืนไปข่มขู่ ยุคนี้ไม่มีแล้ว ดังนั้นขอให้สบายใจได้
นายชาดา กล่าวว่า การปราบปรามผู้มีอิทธิพล จะใช้มาตรการทางภาษี ตรวจสอบเส้นทางการเงิน เหมือนอย่างกรณีที่สหรัฐฯ ปราบปรามกลุ่มมาเฟียของ นายอัล คาโปน ทำให้กลุ่มอิทธิพลของอัลคาโปน หายไปจากสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม มาตรการของตนที่จะดำเนินการคือ บูรณาการทุกหน่วยงาน ตรวจสอบภาษีผู้มีอิทธิพล และคนข้างเคียง โดยนำคณะกรรมการป้องกันและปรามปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กรมสรรพากรไปตรวจสอบเส้นทางการเงิน ทั้งอาณาจักร
ทั้งนี้ ไม่อยากให้งานปราบผู้มีอิทธิพลเป็นงานหวือหวา หรือไฟไหม้ฟาง แต่ต้องการวางระบบให้ดี เพื่อบีบให้คนที่ไม่ดีออกไป และป้องกันไม่ให้คนไม่ดีเกิดขึ้น และถือเป็นการปราบปรามผู้มีอิทธิพลรูปแบบใหม่ที่ตรวจสอบทั้งกระบวนการ รวมถึงมือไม้ที่ทำงานให้
“ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมรายชื่อผู้มีอิทธิพลตามที่ประชาชนร้องเรียน มีส่วนที่ดำเนินการไปแล้ว คือ ในพื้นที่ขอนแก่น และกทม. ซึ่งเป็นความผิดปกติ เช่น กรณีลักลอบนำเข้าแรงงานผิดกฎหมาย เป็นกรณีที่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องดำเนินการ แต่กรณีที่มีเครือข่ายในอาณาจักรเข้าไปทุกระบบ ผมไม่มีกองกำลัง ผมใช้เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ของฝ่ายปกครองเข้าไปดำเนินการ ผมไม่มีหน้าที่ไปตรวจค้นจับกุมใคร แต่มีหน้าที่ส่งข้อมูลเข้าระบบจัดการที่มีอยู่ ผมจะเอาความรู้ ทักษะของผมเข้ามาดำเนินการ จะตั้งใจทำงาน เพื่อให้เป็นเครื่องพิสูจน์ เป็นเวลาที่ต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน ถือว่าการมอบหมายงานนั้น ถูกที่ถูกทาง ดังนั้นงานของผมถือเป็นความหวังของคนไทยจำนวนมาก แม้จะเป็นไปแบบนิ่มๆ แต่จะไม่ทำเพื่อตัวเอง อยากทำให้เห็นว่าทำแล้ว หลังจากนี้ไม่มีผู้อิทธิพลเกิดขึ้นง่ายๆ เหมือนในอดีต” นายชาดา กล่าวในท้ายที่สุด